7/19/2554

น้ำตาและรอยยิ้ม....

       ..... ถ้อยคำที่งดงามที่สุดบนริมฝีปากของมนุษย์ก็คือคำว่า แม่ และการเรียกขานที่งดงามที่สุดก็คือการเรียกว่า แม่ของฉัน มันเป็นถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความรักและหวัง เป็นคำที่หวานและกรุณาซึ่งมาจากส่วนลึกของหัวใจ แม่คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง แม่เป็นผู้ปลอบโยนเราในยามเศร้าโศก เป็นความหวังของเราในยามทุกข์และเป็นกำลังใจให้เราในยามอ่อนแอ แม่คือ ต้นกำเนิดของความรัก ความเมตตา เห็นอกเห็นใจและการให้อภัย ผู้ที่สูญเสียแม่ไปนั้นเท่ากับได้สูญเสียวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งคอยอำนวยพรและพิทักษ์รักษาเขาเสมอมาไปนั่นเอง......
      
       นี่คือคำประพันธ์ของคาลิล ยิบรานที่มีต่อมารดา เมื่อครั้งที่เขาต้องสูญเสียท่านไปในปี 1903 หลังจากปีก่อนหน้านั้นเขาต้องสูญเสียน้องสาวและต่อมาก็สูญเสียน้องชายและมารดาของตัวเองในเวลาต่อมา...
      
       ชื่อของคาลิล ยิบราน Kahlil Gibran ดูจะเป็นที่รู้จักคู่มากับหนังสือ ปรัชญาชีวิตหรือ The Prophet ที่แปลโดยดร.ระวี ภาวิไลเมื่อหลายสิบปีก่อน เป็นหนังสือที่หนุ่มสาวยุคแสวงหา ต้องผ่านตาไม่มากก็น้อย
       
       เขาเป็นศิลปิน กวี นักเขียนที่เคยได้รับสมญานามว่า วิลเลียม เบลคแห่งศตวรรษที่20 และยังเป็นบุคคลหนึ่งที่รู้จักไปทั่วโลกในฐานะ อมตกวีแห่งเลบานอนและถือเป็นปราชญ์แห่งยุคสมัยของเขา
      
       ยิบรานเกิดที่เมืองบชารี ประเทศเลบานอน เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 1883 ก่อนที่ครอบครัวของเขาจะอพยพมาอาศัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเมื่อเขาอายุได้ 12 ปี เขามีน้องชายหนึ่งคนและน้องสาวสองคน ทั้งหมดของครอบครัวมาลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองบอสตัน ยิบรานเริ่มต้นการเรียนอีกครั้งหนึ่งที่นั่น ก่อนที่เขาจะขอให้ครอบครัวส่งเขากลับมายังเลบานอนเพื่อเข้าเรียนในโรงเรียน
       อัล ฮิค มัท ซึ่งถือเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงของเลบานอน ขนาดได้รับการขนานนามว่า สำนักแห่งปัญญา
      
       หลังสำเร็จปริญญาตรีจากที่นั่น เขาใช้เวลาเดินทางท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ ของเลบานอน สถานที่สำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์และโบราณสถานหลายแห่ง ก่อนจะกลับไปยังสหรัฐอเมริกา เพื่อศึกษาศิลปะตามที่มีใจรักเป็นพื้นฐาน และหลังจากนั้นเขาก็ยังไม่สิ้นสุดการแสวงหาความรู้
      
       ในปี 1908 เขาเดินทางไปฝรั่งเศส เพื่อขอเป็นลูกศิษย์ของประติมากรเลื่องชื่อ ออกุส โรแดงในสถาบันศิลปะที่ปารีส เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วก็เดินทางกลับมายังสหรัฐอเมริกาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เขาไปพำนักอยู่ทีมหานครนิวยอร์ก
      
       โดยนิสัยส่วนตัวแล้วยิบรานเป็นคนขี้อายและไม่ค่อยสุงสิงกับคนแปลกหน้า เขามักจะหลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ และชอบใช้เวลาอยู่คนเดียว อ่านหนังสือและไตร่ตรองเรื่องราวต่างๆ ตามลำพัง
      
       พลังในงานเขียนของคาลิล ยิบราน ไม่ได้อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงวิธีเขียน หากแต่อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงเนื้อหาที่จะเน้นมากกว่า ครั้งหนึ่งในวัยหนุ่มเขาเคยพร่ำบ่นถึงความแตกต่างทางชนชั้นของสังคม เขาชิงชังนักบวชและคนร่ำรวย
      
       ผลงานของเขาส่วนใหญ่จะเน้นไปในเรื่องของชีวิต ธรรมชาติ ความตายคนรวย คนและกวี และค่อนข้างจะเป็นนักจิตนิยม ผู้ถือ ความหมายทางจิตวิญญาณนั้นสำคัญกว่าวัตถุ กระนั้นก็ตาม เขาก็ไม่เคยปฏิเสธวัตถุ ด้วยเขาคิดว่า มันคือเครื่องอำนวยให้ชีวิตของคนเราอยู่บนโลกใบนี้ได้....แต่ สิ่งที่เหนือกว่าชีวิตในโลก ก็คือ จิตวิญญาณนั่นเอง
      
       ผลงานที่จัดว่าได้รับการแปลเป็นภาษาต่างชาติหลากหลายภาษาและเป็นที่กล่าวขานอยู่นานกว่า 40 ปี ก็คือเรื่อง ปรัชญาชีวิต (The Prophet) และอีกเล่มหนึ่งในชื่อภาษาไทยคือ ปีกหัก (The Broken wing) ครั้งหนึ่งผลงานของเขาเคยถูกนำมาเผากลางตลาดในบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง ด้วยคำกล่าวหาของรัฐว่าผลงานการประพันธ์ของเขานั้นเปรียบเสมือนยาพิษและเป็นอันตรายต่อสันติสุขของประเทศชาติ และเมื่อคาลิล ยิบรานทราบข่าว เขาเพียงแต่กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะเขาจะได้พิมพ์ออกเป็นครั้งที่สองต่อไป.....
      
       สิ่งที่ดูจะเป็นที่รังเกียจของยิบรานมาตลอดชีวิตของเขาก็คือ คนที่มีลักษณะมือถือสากปากถือศีล หรือคนหน้าไหว้หลังหลอก และสิ่งที่เขาแสวงหามาตลอดช่วงชีวิตก็คือ ความจริงที่ปราศจากกาลเวลา ความเป็นอิสระ สันติสุข และความรัก ความงามของ
       สังคม
      
       แต่ก็ก็มีช่วงชีวิตอยู่ได้เพียงอายุ 48 ปี จากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 10 เมษายน ปี 1931ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
      
       มาถึงยุคนี้ แม้ว่า คาลิล ยิบรานจะจากโลกนี้ไปนานกว่า 70 ปีแล้ว แต่ผลงานของเขายังเป็นที่กล่าวขาน และคงคุณค่าไว้ได้อย่างดงาม นานๆ เราหยิบขึ้นมาอ่านสักครั้งหนึ่ง ปล่อยจิตใจและแสวงหาหนทางสงบ ตรึกตรอง ถึงเรื่องราวที่แวดล้อมเราด้วยสติ..บางครั้งปัญญา ก็เกิดขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์......
      
       .....ชีวิตของเมฆคือการจากและการพบ - คือน้ำตาและรอยยิ้ม....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น