บทความเขียนไว้เมื่อ พฤศจิกายน 2549 ลงใน Manager.co.th
ยอมรับว่า ออกจะเชยไปสักนิดนะคะ
ที่จะพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ Sophie Scholl ในเวลานี้
เพราะเข้าใจว่าภาพยนตร์ดังกล่าวเข้ามาฉายในบ้านเราสักระยะหนึ่งแล้ว
แต่..ก็นั่นล่ะค่ะ ตามประสาคนที่ชมภาพยนตร์ที่บ้านด้วยการซื้อหามาดูเอง
ก็มักจะตกสมัยคนอื่นๆ อยู่เสมอ....
สิ่งที่อยากจะพูดถึงในหนังเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเพราะรางวัล
Academy
Award Nominee ในสาขา best foreign language film ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้หรอกค่ะ...
แต่เพราะว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ดิฉันรู้จักกับเธอคนนี้ต่างหากละคะ Sophie
Scholl ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีจิตใจหาญกล้า
ชนิดที่ไม่หวั่นแม้แต่ความตาย!!!
หลังจากดูภาพยนตร์เรื่องนี้จบ
ทำให้ดิฉันต้องขวนขวายหาเรื่องราวของเธอคนนี้และกลุ่มกุหลาบขาวมาเพื่อคลายข้อข้องใจของตัวเอง
แล้วก็ไม่เสียใจค่ะที่ได้รู้จักกับเธอคนนี้
Sophie Scholl เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ปี 1921 เป็นชาวเมืองอุมม์ (Ulm) ในประเทศเยอรมันนี แน่นอนค่ะ เธออยู่ในยุคสมัยที่ผู้นำเผด็จการอย่างฮิตเลอร์กำลังเรืองอำนาจอยู่พอดี
วัยแรกรุ่นเธอก็เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ
ในเยอรมันที่ก้าวเข้าไปเป็นสมาชิกยุวชนฮิตเลอร์
ในข้อมูลกล่าวไว้ว่า sophie
ค่อนข้างเป็นคนมีพรสวรรค์ทางด้านขีดๆ เขียนๆ
และหลังจากที่เธอสำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมปลายในปี 1940
เธอก็เข้าไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กในโรงเรียนเด็กอนุบาลของกลุ่มเคลื่อนไหวกรรมาชีพ
และอีกสองปีต่อมาเธอก็ตัดสินใจเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยที่มหาวิทยาลัยมิวนิค
ในสาขาวิชาชีววิทยาและปรัชญา
มหาวิทยาลัยมิวนิค แห่งนี้
นี่เองที่ทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปราวพลิกฟ้า เมื่อพี่ชายแท้ๆของเธอนามว่า Hans
แนะนำเธอเข้ากลุ่มกับเพื่อนๆร่วมอุดมการณ์ของเขา
ที่ต่างก็สนใจในกิจกรรมที่คล้ายกันไม่ว่าจะปีนเขา เล่นสกี ว่ายน้ำ
หรือแม้กระทั่งการถกเถียงกันในประเด็นทางการเมือง!!
พ่อของSophie เคยถูกจับในข้อหาอาจหาญลุกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ฮิตเลอร์
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สองพี่น้องตระกูล Scholl รู้สึกเกรงกลัวอำนาจของฮิตเลอร์แต่อย่างใด
ในภาพยนตร์ดังกล่าวเล่าเรื่องกิจกรรมของกลุ่มกุหลาบขาวอย่างกระชับฉับไว
แล้วตัดฉากมาที่สองพี่น้องถูกจับกุมในข้อหาแจกใบปลิว ต่อต้านการปกครองของฮิตเลอร์
แน่นอนกว่าที่เธอจะถูกตัดสินใจประหารชีวิต ภาพยนตร์เปิดโอกาสให้ Sophie
มีโอกาสพูดในสิ่งที่ตัวละครควรจะพูด
เพื่อเปิดเผยถึงแนวคิดและความพยายามในการต่อต้านระบบการปกครองของฮิตเลอร์และนาซี
แต่ในความเป็นจริง Sophie
ถูกตัดสินประหารชีวิตทันทีหลังจากถูกจับกุมเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง
มีบันทึกของผู้คุมนักโทษที่จดจำท่วงท่าอาจองของSophie ก่อนที่เธอจะก้าวสู่แท่นกีโยติน
ว่าเธอเดินเข้าสู่ความตายด้วยความกล้าหาญ
และสายตาของเธอเพ่งมองอยู่แต่แสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์....
กลับมาที่ภาพในแผ่นฟิล์ม จะมีฉากซ้ำๆ Sophie มองท้องฟ้าจากหน้าต่างห้องคุมขังเธอ....ภาพนี้กินใจดิฉันมากค่ะ
และในเรื่องจริง Sophie ได้กล่าวไว้ว่า “ความตายของฉันมันจะเป็นไรไป...หากว่า
มันจะทำให้คนอีกนับพันถูกกระตุ้นและปลุกให้ตื่นด้วยการกระทำของฉันในครั้งนี้....”
เหนือสิ่งอื่นใด Sophie ไม่เคยสิ้นหวังในการกระทำของตัวเองเลย
ในบันทึกก่อนถูกประหารชีวิต เธอพูดถึงความตายที่กำลังคืบคลานเข้าหาเธอว่า
เธอสำนึกว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นแต่มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ออกมาจากหัวใจของเธอเอง
เพราะหัวใจของเธอ มันยังคงเต็มไปด้วยความฝัน ความหวังและมันก็ปฏิเสธที่จะฟังเหตุผลนั้นๆ
ที่พูดถึงความเศร้าเสียใจที่เกิดขึ้นเพราะการตายของเธอ
แม้ในขณะที่ความตายอยู่ตรงหน้าเธอนั้น เธอก็ยังคงนึกถึงเรื่องอื่นๆ อยู่
ก่อนจะถูกประหารชีวิต Sophie
มีโอกาสพบหน้าครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง ตลอดเวลาเธอเป็นห่วงความรู้สึกของแม่เธอมากกว่าสิ่งอื่นใด
ที่ต้องสูญเสียลูกในคราวเดียวกันถึงสองคน
แม่ของเธอบอกกับเธอในครั้งสุดท้ายที่พบหน้ากันว่า นางคงไม่มีโอกาสได้เห็น Sophieก้าวผ่านประตูบ้านเข้ามาอีกแล้ว..... Sophie ปลอบใจแม่ของตัวเองไปว่า
ความรู้สึกนี้มันจะเกิดขึ้นเพียงสองสามปีเท่านั้น.....
หนึ่งในฉากของภาพยนตร์เรื่อง Sophie
Scholl ที่โดนใจดิฉันมากๆ ก็คือฉากที่อยู่ในห้องพิพากษา
ผู้พิพากษากล่าวกับนักโทษว่า มีอะไรจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย...Sophie ยืนนิ่งและตอบออกไปด้วยถ้อยคำชัดเจนว่า ....ที่
ที่ฉันยืนอยู่ในวันนี้...พวกคุณทั้งหมดในห้องจะต้องมีโอกาสได้ยืนในที่เดียวกันสักวันหนึ่ง...
Sophie เสียชีวิตด้วยการถูกตัดคอ ด้วยวัยเพียง 22 ปี....ในข้อหาที่เป็นปฏิปักษ์กับฮิตเลอร์ เพียงเหตุผลแค่นี้
กลุ่มของเผด็จการฮิตเลอร์ก็สั่งฆ่าคนได้อย่างง่ายดาย
เห็นเช่นนี้แล้วก็ได้แต่ภาวนาว่า มันคงไม่มีเหตุการณ์ที่ว่านี้เกิดขึ้นอีกในที่ใดๆ
ในโลก ที่เพียงคนเห็นต่าง
จะต้องถูกจบชีวิตหรือถูกเบียดขับออกจากสังคมด้วยเหตุผลเพียงแค่นี้!!