6/14/2557

เสียงหัวใจกระซิบที่เมืองงอย


 
เขียน นพวรรณ สิริเวชกุล
ภาพโดย มงคล เปลี่ยนบางช้าง





 


 


สะพานมิตรภาพไทยลาวแห่งแรกเชื่อมระหว่างจังหวัดหนองคายกับพระนครเวียงจันทน์ มีการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ ๒๐ ปีไปเมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนปีนี้  บริเวณหาดทรายจอมมณี ถือเป็นสะพานที่เชื่อมมิตรภาพไทยลาวให้กลับมาแน่นแฟ้นดังเดิมหลังห่างเหินกันไปนับตั้งแต่ลาวเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองภายในประเทศของตัวครั้งใหญ่เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๑๘ ด้วยการสถาปนาประเทศเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวโดยยึดหลักการปกครองแบบสังคมนิยม
กระทั่งปี ๒๕๓๕ ประธานประเทศลาว นายไกสอน พรมวิหารเสียชีวิต นายหนูฮัก พูมสะหวันขึ้นดำรงตำแหน่งแทน การจำกัดเสรีภาพในลาวค่อยๆ ถูกยกเลิก ชาวลาวที่ลี้ภัยหรืออพยพไปอยู่ต่างแดนได้รับการเชื้อเชิญให้กลับบ้าน ลาวเริ่มเปิดประเทศมากขึ้น รวมทั้งฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศไทยด้วย นับแต่นั้นเราจะเห็นข่าวการเข้าไปทำธุรกิจต่างๆของคนไทยในเมืองลาวอยู่เสมอ รวมทั้งการท่องเที่ยวลาวที่เปิดตัวมากขึ้นเรื่อยๆ

ลาวยังมีธรรมชาติที่สวยงามมากมาย อีกทั้งเสน่ห์ที่พาให้ใครต่อใครหลงใหลและพากันไปสัมผัสความสวยงามและความเป็นพื้นถิ่นเหล่านั้นของลาว เช่นที่นี่ เมืองงอย เมืองเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในแขวงหลวงพระบาง เมืองที่กระแสไฟฟ้าและการสัญจรทางบกเพิ่งเดินทางเข้าไปในหมู่บ้านเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้หนทางเดียวที่ใช้ติดต่อกับผู้คนคือเส้นทางน้ำอูที่ล่องขึ้นไปจนสุดแดนลาว ซึ่งแท้แล้ว สายน้ำอูนี้ถือเป็นเส้นทางการค้ามาแต่อดีตทีเดียว ด้วยว่าต้นกำเนิดของมันอยู่ในมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน
แม่น้ำอูเคยถูกนักมานุษยวิทยาชื่อดังอย่างแอนดรู วอร์คเกอร์ เมื่อครั้งที่เขาทำวิจัยระดับปริญญาเอกในเรื่องเส้นทางการค้าระหว่างไทยตอนเหนือ ลาวตอนเหนือและจีนตอนใต้เมื่อ ๑๒ ปีก่อน ได้บันทึกไว้ว่า...”แม่น้ำอูและแม่น้ำดำในเวียดนามเป็นเส้นทางคมนาคมเส้นทางหนึ่งที่มีความสำคัญในการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างลาวเหนือกับฮานอยมาตั้งแต่ครั้งที่ฝรั่งเศสยังเรืองอำนาจในอินโดจีน ราวทศวรรษ ๑๘๙๐ พ่อค้าชาวฝรั่งเศสได้ใช้เส้นทางน้ำสายนี้ส่งสินค้าจากเวียดนามไปยังเมืองหลวงพระบาง....”

เมืองงอยจึงถือเป็นทางผ่านและที่พักแรมของนักเดินเรือสินค้ามาตั้งแต่อดีต เหตุก็เพราะเป็นเมืองที่อยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองขัว แขวงพงสาลีชายแดนลาว - เวียดนามและไหลลงไปสุดทางที่เมืองปากอูแขวงหลวงพระบางบริเวณถ้ำติ่งจุดบรรจบระหว่างน้ำอูกับน้ำโขง

ในหมู่นักท่องเที่ยวที่นิยมการเที่ยวเชิงนิเวศน์  เมืองงอยจัดเป็นเมืองที่มีผู้คนกล่าวถึงมากที่สุดเมืองหนึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเดินทางชาวตะวันตกที่ตื่นตาตื่นใจกับเมืองที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ เพราะนอกจากความเงียบสงบแล้ว ที่นี่ยังหาคลื่นโทรศัพท์ได้ยากเต็มที อินเตอร์เนทไม่ต้องพูดถึงเพราะโทรทัศน์ก็แทบจะมีนับบ้านกันได้ ไฟฟ้าใช้ระบบปั่นไฟและทั้งเมืองจะเงียบสนิทเมื่อเวลาสามทุ่ม! ใครอยากสัมผัสความเป็นอยู่ของคนลาวแท้ๆ ต้องมาเยือนที่นี่...แต่ทุกวันนี้ เมืองงอย ค่อยๆ เปลี่ยนโฉมหน้าต้อนรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น เสาไฟฟ้าที่นำพาความสว่างไสวเข้ามาในหมู่บ้านเมื่อแปดเดือนก่อนสะพานเชื่อมระหว่างเมืองหนองเขียวกับเมืองงอยเก่าหรือเมืองงอยเหนือ พาให้รถยนต์เข้าไปถึงหมู่บ้านได้แล้ว แต่เสน่ห์ของการล่องน้ำอูเพื่อไปถึงเมืองงอยก็ยังตรึงใจนักท่องเที่ยวอยู่เช่นเดิม
จากเมืองหลวงพระบางวิธีที่ง่ายและสะดวกที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวคือซื้อตั๋วโดยสารจากที่พัก และตื่นแต่เช้าเพื่อออกเดินทางไปยังเมืองหนองเขียวใช้เวลาเดินทางประมาณสามชั่วโมงเศษ  ส่วนการเดินทางไปเมืองงอยด้วยวิธีล่องเรือตามสายน้ำอูจะดีที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยว เพราะเราจะได้ชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติและบรรยากาศของแม่น้ำอูใช้เวลาล่องไปถึงเมืองงอยเก่าอีกร่วมสองชั่วโมง
ราวกับเจ้าของเฮือนพักจะรู้เวลา ต่างมายืนรอเพื่อเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนเข้าพักในเฮือนของตน ที่นี่มีเฮือนพักหลากหลายรูปแบบ เราสามารถเลือกได้ตามอัธยาศัยและกำลังทรัพย์ มีทั้งแบบบ้านพักเป็นหลัง แบบห้องพักอยู่รวมกับคนในบ้าน หรือบางที่ ปลูกเฮือนพักไว้ติดริมน้ำ ทางเข้าออกที่พักอยู่รวมกับชาวบ้านให้บรรยากาศเหมือนเราได้อยู่ร่วมหมู่บ้านกับชาวเมืองงอย
เราเดินตามคำเชื้อเชิญของสาวนางหนึ่งไปยังเฮือนพักของเธอซึ่งอยู่ติดริมน้ำอู มีน้ำงอยสายเล็กๆ คั่นขนานไปกับที่พัก เจ้าของที่พักเล่าว่าฤดูน้ำหลาก น้ำงอยกับน้ำอูจะสูงท่วมกันกระทั่งถึงบริเวณเฮือนพักของเธอทีเดียว จากหน้าบ้านพักเรามองเห็นตะวันลับเหลี่ยมเขาพอดี เมื่อได้ที่พักแล้วเราก็เริ่มออกสำรวจรอบๆ หมู่บ้าน เหตุที่เรียกเมืองงอยเก่าเพราะมีการย้ายเมืองออกไปสร้างใหม่ในปัจจุบัน ชาวบ้านจึงเรียกบ้านเก่าและบ้านใหม่เพื่อกันการสับสน
แรกที่ตัดสินใจมาเมืองงอย ฉันแทบไม่รู้อะไรเลย ข้อมูลพื้นฐานเพียงแค่เป็นเมืองเล็กๆ เงียบๆ คล้ายเมืองปาย แม่ฮ่องสอนของบ้านเราเมื่อยี่สิบปีก่อน เมื่อมาถึงก็ไม่ผิดหวังเมืองงอยยังคงบรรยากาศใสๆ ให้ได้สัมผัสจริงๆ
เสียงพระสวดทำวัตรเย็นดังแว่วทั่วหมู่บ้าน เราเดินไปตามเสียงจึงเห็นสามเณรน้อยนั่งสวดมนต์ทำวัตรเย็นกันอย่างพร้อมเพรียงอยู่ในวัดประจำหมู่บ้านชื่อวัดอากาด มารู้ทีหลังว่าเป็นที่ประดิษฐานของพระคำ ที่ชาวเมืองงอยศรัทธามากและเชื่อว่าองค์พระนั้นศักดิ์สิทธิ์ใครขอพรสิ่งใดมักได้ดังหวัง
ทุกเช้าตรงสี่แยกหัวมุมของหมู่บ้านนอกจากเป็นเฮือนพักนักเดินทางแล้ว ยังมีอาหารเช้าบุฟเฟต์สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติไว้บริการสำหรับทุกคน ที่นี่นอกจากอาหารเช้าแล้วยังมีอาหารเย็นเปิดให้บริการด้วยเพียงแต่เวลาอาหารเย็นจะเป็นเวลาของตะวันตกไปสักนิดคือเริ่มตั้งแต่หนึ่งทุ่มไปจนถึงสามทุ่มของทุกวัน
หลายคนคงเคยไปเยือนวังเวียงของลาวกันมาบ้าง ถามว่าที่นี่มีอะไรที่คล้ายไหม ตอบได้เลยว่าไม่ อาจเป็นเพราะชุมชนที่นี่เข้มแข็ง มีป้ายปิดประกาศเป็นภาษาอังกฤษเพื่อสื่อสารกับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะถึงกฎของการมาเยือน ถ้อยความในใบประกาศนั้นสื่อให้รู้ว่า โปรดให้เกียรติชาวเมืองงอย คนที่นี่เป็นชาวนาและชาวประมง เข้านอนกันแต่หัวค่ำและตื่นกันก่อนตะวันขึ้น พวกเขาต้องการความสงบในยามค่ำคืน แม้กระทั่งในเฮือนพักก็จะติดประกาศให้ผู้อาศัยรู้ว่า ทุกคนต้องกลับเข้าที่พักของตัวก่อนเวลาสามทุ่ม
 ใครเคยไปเมืองปายบ้านเราเมื่อยี่สิบปีก่อนคงพอนึกภาพออก หากคุณเกิดหิวในเวลาใกล้สามทุ่มอย่าหวังว่าจะมีร้านไหนเปิดบริการ ที่นี่ก็เช่นกันนักท่องเที่ยวก็ดูจะเคารพกติกาของการมาเยือนอยู่ไม่น้อย ดังนั้นเราจึงไม่เห็นร้านไหนเปิดเพลงดังหรือเสียงเฮฮาของคนแปลกถิ่น ต่างอยู่กันอย่างเงียบๆ แม้กระทั่งในที่พักของตนเอง
......เมืองงอยในยามค่ำคืนจึงเงียบ..เงียบกระทั่งยินเสียงลมหายใจของตัวเอง.....
 
มาลัยทองเจ้าของเฮือนพักที่ฉันเลือกอาศัยเป็นคนเมืองงอย ชีวิตของเธอน่าสนใจมาก เธอเกิดในถ้ำกางของเมืองงอยเมื่อพ.ศ. ๒๕๑๑ ระหว่างช่วงสงครามกลางเมืองลาว...พ่อของมาลัยทองเป็นพ่อค้าชาวเมืองหลวงพระบางฐานะดี มาตกหลุมรักแม่ของเธอที่เป็นสาวเมืองงอย จึงตัดสินใจมาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ก่อนจะเกิดสงคราม  เมืองงอยเหนือหรือเมืองงอยเก่าตามชาวบ้านเรียกเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีประชากรอยู่ประมาณ ๗๐๐ คน ส่วนใหญ่เป็นลาวลุ่ม
มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า เมืองงอยนั้นเป็นชุมชนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเจ้าฟ้างุ้มปกครองอาณาจักรล้านช้าง ชื่อของเมืองนั้นว่ากันว่าเพี้ยนมาจากชื่อ ท้าวกาดวอยเจ้าเมืองในยุคต้นๆ แรกเริ่มเดิมทีชาวบ้านก็เรียกเมืองนี้ว่า เมืองท้าวกาดวอย ต่อมาก็เหลือเพียงเมืองวอยและค่อยเพี้ยนมาเป็นเมืองงอย คำว่างอยแปลว่า ใกล้จะตก
เมืองนี้ถือเป็นเมืองยุทธศาสตร์ทางทหารมาแต่โบราณสมัยสมัยเจ้าอินต๊ะสม โอรสปฐมกษัตริย์แห่งหลวงพระบาง เมื่อพ.ศ. ๒๒๕๖ ได้มาตั้งทัพของพระองค์ที่เมืองงอยเพื่อรอการโจมตีจากหลานชายตัวเองเจ้าองค์คำผู้ต่อมาภายหลังได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ และเมืองงอยยังเป็นที่ๆ ทั้งสององค์ได้ทำข้อตกลงร่วมกันในการครองบัลลังก์ร่วมกันอีกด้วย ถือได้ว่าเมืองงอยนี้เป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญและเป็นเส้นทางลำเลียงพลและยุทธปัจจัยที่สะดวกที่สุดเมื่อเทียบกับทางบก แต่ละฝ่ายจึงพยายามยึดเมืองงอยเป็นฐานที่มั่นให้ได้ หากยึดไม่ได้ก็มักจะทำลายทิ้ง เหมือนเมื่อครั้งเกิดสงครามกลางเมืองในลาวหรือที่เรียกกันว่าสงครามลับ Secret war ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามอินโดจีนครั้งที่ ๒ ในช่วงทศวรรษ ๑๙๕๐ และจบลงในช่วงปี ๑๙๗๕ (๒๕๑๘) ฝั่งตะวันตกเรียกสงครามเวียดนาม ฝ่ายเวียดนามเรียก สงครามอเมริกา เหตุที่มีลาวเข้าไปพ้องเกี่ยวในช่วงนั้นด้วยก็เพราะในช่วงเวลาเดียวกันนั้นนอกจากการรบกันในเวียดนามแล้ว ยังเกิดการรบกันที่กัมพูชาเรียกสงครามกลางเมืองกัมพูชาและที่ลาวซึ่งเป็นการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองระหว่างลาว ๓ ฝ่าย
ย้อนไปอีกสักนิดช่วงที่ลาวตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในระหว่างปีค.ศ.๑๘๙๓ – ๑๙๕๓ (๒๔๓๖-๒๔๙๖) รวมแล้ว ๖๐ ปี ก่อนที่ลาวจะเป็นเอกราชจากฝรั่งเศสและคาบเกี่ยวกับช่วงแผ่อิทธิพลทางการเมืองของญี่ปุ่น จึงทำให้ญี่ปุ่นเข้ามามีส่วนในการเมืองของลาวอยู่ระยะหนึ่งด้วยการยึดอำนาจมาจากฝรั่งเศสและแต่งตั้งให้มีผู้สำเร็จราชการลาวรวมทั้งสนับสนุนให้เจ้าเพชรราชขึ้นปกครอง ลาวในขณะนั้นแบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายของเจ้าเพชรราช มีเจ้าสุวรรณภูมาเป็นผู้ช่วยเหลือ , ฝ่ายพระเจ้าศรีสว่างวงศ์ ได้รับความช่วยเหลือจากเวียดมินห์ และฝ่ายเจ้าสุภานุวงศ์
 หลังจากนั้นในปี ๑๙๕๔(๒๔๙๗) มีการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้นในลาว หลังจากประกาศเอกราชจากฝรั่งเศสเมื่อปี ๑๙๔๗(๒๔๙๐) แต่ความขัดแย้งทางการเมืองภายในของลาวก็ยังไม่สิ้นสุด เมืองหลวงพระบางเป็นที่ประทับของเจ้ามหาชีวิตและเวียงจันทน์เป็นเมืองหลวง เกิดการแย่งชิงอำนาจมีความแตกแยกทางการเมืองระหว่างขบวนการปเทดลาวที่นิยมคอมมิวนิสต์กับฝ่ายรัฐบาล
 สงครามกลางเมืองในลาวทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ประเทศต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในลาว ได้พยายามให้มีการเปิดเจรจาหลายครั้ง สหรัฐอเมริกาเข้ามาช่วยสนับสนุนในนามของการพิทักษ์ลาวให้รอดพ้นจากลัทธิสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์  ซึ่งมีฝ่ายตรงข้ามที่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศเพื่อนบ้านคือเวียดนาม ในช่วงเวลานั้นเองที่คนลาวบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของความขัดแย้งและแตกแยกในแผ่นดิน
คนเมืองงอยก็พลอยได้รับผลกระทบกับสงครามนี้ไปด้วย เมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบแห่งนี้กลายเป็นจุดที่กองทัพอเมริกันทิ้งระเบิดหนักที่สุด กล่าวกันว่าในสงครามลับหรือ Secret war ครั้งนี้มีการทิ้งระเบิดลงกว่าล้านลูกทีเดียว และเหมือนจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ชาวบ้านในเวลานั้นสามารถเอาตัวรอด ยังชีพอยู่ได้ด้วยการหนีไปหลบในถ้ำอยู่เป็นเวลาเกือบสิบปีทีเดียว
มาลัยทองเล่าว่าเธอและพี่สาวรวมทั้งน้องสาวเกิดและเติบโตมีวัยเด็กในถ้ำกาง ระหว่างสงครามทุกคนในหมู่บ้านต้องหลบหนีเข้าไปอยู่ในถ้ำ ที่เมืองงอยมีถ้ำอยู่สองแห่งคือถ้ำกางและถ้ำพระแก้ว  กลางวันพวกเขาต้องใช้ชีวิตให้เงียบที่สุดเสมือนไม่มีตัวตนเพื่อไม่ให้ใครจับได้ เสียงทิ้งระเบิดตลอดเวลานับตั้งแต่ตะวันขึ้นจนถึงตะวันลับฟ้าเป็นเช่นนี้นานนับเดือน...นับปี...
ชาวบ้านอยู่ด้วยความหวาดผวา ไร้อนาคต พวกเขามองไม่เห็นหนทางข้างหน้า มีชีวิตหลบซ่อนในถ้ำหาอยู่หากินอย่างแร้นแค้น ตกกลางคืนลอบออกมาทำนาหาอาหารในป่า เพื่อสะสมเสบียงไว้กินกันตาย หลายคนรู้สึกอับจนหนทางจึงหาทางออกด้วยการดื่มสุรา เพื่อคลายความเครียด ใครที่พอมีทรัพย์สินก็ต้องเร่ออกมาแลกกับอาหารที่หาได้น้อยเหลือเกินในยามนั้น
ชีวิตที่ยากเข็ญนี้ได้รับการปลดปล่อยเมื่อปี ๑๙๗๕ (๒๕๑๘) เมื่อขบวนการปเทดลาวมีอำนาจเข้มแข็งเต็มที่ และเข้ายึดอำนาจการปกครองและเรียกชื่อประเทศใหม่อย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
 
ชาวเมืองงอยจึงกลับเข้าหมู่บ้าน ได้มองเห็นแสงตะวันเต็มตา ได้ใช้ชีวิตเยี่ยงคนปกติในเวลากลางวัน พวกเขาเริ่มต้นซ่อมแซมบ้านและฟื้นฟูไร่นาของตัวเองครั้งใหญ่ มาลัยทองเองออกจากถ้ำมาอยู่ที่บ้านเมื่อเธอมีอายุ ๗ ปี พ่อของเธอส่งให้ไปอยู่กับญาติที่เมืองหลวงพระบางเพื่อให้เรียนหนังสือ หลังจากนั้นเธอสำเร็จวิชาชีพพยาบาลและได้เป็นนางพยาบาลอยู่ที่นครเวียงจันทน์และพบรักกับนายแพทย์หนุ่มก่อนตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน มีลูกชายด้วยกันสองคน หลายปีที่ใช้ชีวิตอยู่เวียงจันทน์ มาลัยทองคิดอยากกลับมาดูแลพ่อแม่ที่ชราลงทุกวัน เธอจึงลาออกจากอาชีพพยาบาลกลับมาดูแลพ่อแม่ก่อนที่ท่านทั้งสองจะจากโลกนี้ไปหลังจากที่เธอกลับมาดูแลได้ไม่กี่ปี
หลังจากนั้นมาลัยทองและน้องสาวจึงเริ่มเปิดเฮือนพักเพื่อเป็นรายได้เลี้ยงครอบครัว ซึ่งทุกวันนี้เธอมีความสุขกับการได้ต้อนรับคนแปลกหน้าที่เข้ามาเยี่ยมยามเมืองงอยไม่ได้ขาด ทั้งชาวตะวันตก ทั้งชาวเอเชีย
.....จากการเดินทางที่ปราศจากความหมาย อะไรบางอย่างทำให้ฉันได้มาพบกับเธอ มาลัยทอง....
.....เมืองงอย เมืองเล็กๆ ที่ไม่ได้อยู่ในความตั้งใจ แต่กลับให้อะไรฉันมากมาย…..
บางครั้งการเดินทางโดยปราศจากจุดหมาย ก็ทำให้ได้เรื่องราวดีๆ เพื่อเติมพลังให้แก่ชีวิตเราได้เหมือนกัน....

ทุกวันนี้เมืองงอย ยังเป็นเมืองเล็กๆ ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติและผู้คน ยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวจากแดนไกลให้เข้ามาสัมผัสธรรมชาติและวิถีชีวิตของพวกเขา หากใครคิดจะหาที่เงียบๆ นั่งฟังเสียงลมหายใจของตัวเอง อ่านหนังสือ ทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ  เรียนรู้และเฝ้ามองผู้คนทั้งคนพื้นถิ่นและอาคันตุกะแปลกหน้าที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันเข้ามามิได้ขาด ที่นี่เหมาะยิ่งนัก

นอกจากถ้ำกาง  ถ้ำพระแก้วที่อยู่ในเขาหินปูน สถานที่อันเต็มไปด้วยเรื่องราว เรื่องเล่าของคนเมืองงอยแล้ว ทริปเดินเท้าจากหมู่บ้านไปยังถ้ำกางนั้น ยังสามารถเดินต่อไปยังบ้านนา และหมู่บ้านอีกสองกลุ่มที่เป็นลาวลุ่มและขมุได้อีกด้วย
หากใครนึกสนุกอย่างผจญภัยทางน้ำ ที่นี่มีทั้งพายเรือคายัค และทริปนั่งเรือประมงของชาวบ้านออกไปจับปลา เรียนรู้วิถีชีวิตของชาวประมงน้ำจืด มองเห็นภาพชีวิตของผู้คนริมฝั่งน้ำอู เพียงแค่นี้ เมืองงอยก็เต็มไปด้วยสีสันชีวิตอย่างล้นเหลือแล้ว
ก่อนกลับมาลัยทองชวนฉันดื่มกาแฟ พร้อมชวนให้กลับมาเมืองงอยอีกครั้งในช่วงเดือนแปด เธอบอกว่าที่นี่มีกุ้งเลี้ยงธรรมชาติที่แสนอร่อย อร่อยถึงขนาดคนลาวจากที่อื่นๆ ยังต้องดั้นด้นมากินกุ้งเมืองงอยกันเลยทีเดียว  ฉันรับคำชวนนั้นของเธอก่อนจากมา...ฉันนึกถึงเธอ มาลัยทอง ผู้หญิงที่ผ่านความทุกข์ยาก ผ่านความหวาดกลัว ผ่านความอดอยาก เธอผ่านมันมาหมดแล้ว ทุกวันนี้ เธอมีชีวิตที่อบอุ่นกับสามีและลูก มีกิจการเฮือนพักคอยต้อนรับผู้คน อันเป็นเหตุให้ ‘เรา’ ได้รู้จักกัน.....
 
แม่น้ำอูไหลเอื่อยๆ เบื้องหน้า ทำให้ความรุ่มร้อนภายในใจคลายตัวลงได้อย่างประหลาด แม้ตะวันจะแผดแสงจ้าแต่เรายังมีสายน้ำที่ให้ความฉ่ำเย็น สองสิ่งนี้เหมือนดังชีวิตคนเรา ที่มีทั้งสุข ทั้งทุกข์ เคล้ากันไป..ดั่งสายน้ำอูในยามเที่ยงวันเช่นนี้.

เดียงพลาโต



อันเนื่องมาจากการเดินทางไปทำงานศิลปะแสดงสดในหมู่บ้านครินจิง จึงได้ทริปแถมจากเจ้าบ้านด้วยการพาไปเที่ยวหนึ่งวัน บุโรพุทโธ พราหมณ์ปฌัมและชายหาดมหาสมุทรแปซิฟิค สองที่นั้นขอยกยอดไปก่อนนะคะ ครั้งนี้ขอเอาภาพ หาดแปซิฟิคมาให้ยล 
แรกที่เห็นก็ชอบล่ะค่ะ มันใหญ่โตโอ่โถงกว่าหาดบ้านเรามาก แถมมีรถม้าวิ่งเลียบหาดแบบนี้อีก คนที่นั่นก็ไปเที่ยวพักผ่อนกันเยอะในยามเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่คณะเราไปถึงพอดี
หลังจากวันนั้น ศิลปินจากที่ต่างๆ ก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน แต่สำหรับฉันยังมีทริปต่อไปที่บันดุง ระหว่างพักจึงกลับเข้าเมืองยอร์คจาการ์ตา เดินโต๋เต๋ในโซนแบคแพค พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นทริปวันเดียว เที่ยวเดียงพลาโต อืม...สนนราคาพอจ่ายได้อย่างคนเบี้ยน้อย ไปกันสามหน่อถือว่าคุ้มค่า จึงตกลงราคาว่าจ้างกันไปในวันรุ่งขึ้น
และอย่างที่บอกไว้แต่แรก เราไปกันเดือนเมษายน ซึ่งคาดว่ามันต้องร้อนในวันนั้นดิฉันก็ใส่เสื้อผ้าธรรมดาเพราะคิดว่าเดี๋ยวเดินมันต้องร้อนแน่ๆ ยิ่งเป็นคนขี้ร้อนอยู่ด้วย เช้าวันนั้น คนขับรถพร้อมไกด์หนึ่งคนมารับหน้าที่พักซึ่งก็อยู่ตรงข้ามกับเอเจนขายทัวร์นั่นล่ะ ก็ไม่หือไม่อือ กับเครื่องแต่งกายของพวกเรา พากันนั่งรถที่วิ่งด้วยความเร็วสูง....แบบว่ามันเร็วมากจนแทบจะเหยียบเบรคแทนคนขับไปแล้ว อิอิ...
รถไต่เลาะขึ้นไปตามเขาถนนไม่น่ากลัว ภาพเบื้องหน้าสวยงาม...ถามไถ่ไกด์ที่มาด้วยเขาบอกว่าทัวร์นี้ขายไม่ค่อยออก เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่อยากมาที่นี่แค่วันเดียว เมื่อไปเห็นก็จริงดังว่า ไม่ควรมาแค่วันเดียว....
 ฉันเองเคยรับรู้เรื่องเดียง พลาโตมาหลายปีแล้ว...แต่ไม่ใคร่สนใจที่จะต้องไป เมื่อมีโอกาสไปเยือนยอกจาการ์ต้า ใจก็จดจ่อแต่บุโรพุทโธและพราหม์ปณัม สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของทั้งพุทธและฮินดู....ทั้งสองที่นั้น คนไทยหลายคนมักไปเยือน...จำได้ว่า ระยะทางจากในเมืองยอร์คจาการ์ต้า เพื่อไปถึงเดียง พลาโต นั้นต้องผ่านเมืองใหญ่อย่าง wonosobo เราแวะกินข้าวกันที่นั่น...แม้ว่าไกด์จะพยายามให้เราไปถึงที่หมายให้ได้ก่อนก็ตาม...แต่...ด้วยความที่เป็นพี่ไทยของพวกเรา ทำให้ไกด์ชาวชวา ต้องยอมแพ้ แวะให้เรารับประทานอาหารออมเรี่ยวออมแรงกันก่อนจะไปเผชิญความหนาวแห่งเดือนเมษายน....
ใช่...ที่เขียนมานั้นไม่ผิดค่ะ...หนาวในเดือนเมษายนตรงเส้นศูนย์สูตรของโลก....
เส้นทางระหว่างโวโนโซโบไปยังเดียงพลาโต นั้นต้องข้ามภูเขาลูกใหญ่ๆ จะกี่ลูกนั้น สุดจะคาดเดา..ทางที่ลัดเลี้ยวไปตามไหล่เขา ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างฉันตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก..จนลืมยกกล้องขึ้นกดชัตเตอร์ หลายครั้งที่ฉันมักเป็นเช่นนี้ มองเสียจนลืมบันทึก...ได้มาเพียงสองรูป....
พวกเขาทำไร่ ทำนากันได้อย่างไร...อย่างบ้านเราผู้คนที่อยู่บนเทือกเขาทำนา ทำไร่กับภูเขา...ก็ว่ามันสุดลูกหูลูกตาแล้ว แต่..ที่นี่... เขาเดินไปกลับกันได้อย่างไร... ไกด์ตอบกลับมาให้หายข้องใจว่า...ที่นี่ไม่ได้ไปไร่กันทุกวัน สัปดาห์หนึ่งไปครั้งหนึ่ง แต่ละครั้งต้องไปนอนที่นั่น ก่อนจะกลับมาในวันรุ่งขึ้น เพราะภูเขาที่นี่ อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 4,000 ฟุต...
หมอกระเรี่ยไปกับพาหนะของเรา ตลอดเส้นทาง....ที่นี่เอง ที่ทำให้ฉันนึกถึงคำว่า Exotic ใช่ ฉันรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ อินโดนีเซีย เมืองประหลาดที่มีเสน่ห์เกินคาดเดา....
เมื่อถึงเดียง พลาโต สถานที่แรกแห่งการท่องเที่ยวในวันนั้น ทำเอาฉันตะลึงไปกับความงาม....หมอกโรยตัวโอบปราสาททั้งห้าหลัง เบื้องหน้าเราไว้....พร้อมม้วนตัวของมัน พาเราเคลื่อนสู่ปราสาทประธาน...
ไกด์เริ่มต้นงานของเขาที่นี่....เขาเริ่มต้นเล่าถึงประวัติของปราสาททั้งห้าหลัง ที่เชื่อมร้อยเข้ากับ
มหาภารตะ...กาพย์ที่ยิ่งใหญ่ของคนชวา....เขาชี้ไปที่วิหารอรชุน พร้อมบอกกับบรรดาชายหนุ่มว่า ที่นี่ หากใครต้องการมีผู้หญิงได้หลายคนให้ขอพรที่วิหารอรชุนแห่งนี้...ฉันผู้ซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวจึงเกิดความรู้สึกไม่เท่าเทียมจึงเอ่ยถามไปว่า แล้วไหน วิหารสำหรับผู้หญิงที่จะมีผู้ชายได้หลายคนเล่า??....
ไกด์ทำท่างง เล็กน้อย ก่อนบอกให้ฉันไปขอพรที่วิหารหลังที่สาม ซึ่งเป็นวิหารของ Pun tadewa (จันทิปุนตเทพ) พี่ชายคนโต ผู้ซึ่งปราศจากความโกรธ มีเลือดเป็นสีขาว และเป็นผู้ที่ทำให้ปราศจากสงคราม... ไกด์บอกกับฉันว่า ไปขอพรที่นั่น เพราะผู้ชายคนนั้นใจดี!!
ฉันเลยชักภาพไว้เป็นที่ระลึกและโปรดสังเกตุอะไรที่มีอยู่ฉันโปะไว้ที่ตัวหมด แต่มันก็ยังเย็นมากค่ะ....
หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มต้นถามไกด์.... ที่นี่สร้างเมื่อไร... ไม่ทราบ...ไม่มีคำตอบ รู้แต่ว่า..ที่นี่เคยเป็นที่อยู่ของคนมานานมากแล้วและเคยมีน้ำท่วมขังบริเวณปราสาท ก่อนที่น้ำจะเปลี่ยนเส้นทางไป จึงทำให้ผู้คนในสมัยต่อมาพบซากของปราสาทเหล่านี้มากมาย... แต่ที่เหลือคงไว้ได้นั้น มีไม่ถึง 10 หลัง...ส่วนหนึ่งผู้คนที่อพยพมาอยู่ใหม่ ช่วงดัทช์เป็นเจ้าอาณานิคม ก็นำหินสกัดที่สร้างปราสาทเหล่านั้น เป็นสร้างบ้านของตัวเอง....มันก็คล้ายอีกหลายที่ ที่เรามักจะได้ยินข่าว อิฐหินโบราณถูกนำไปสร้างบ้าน หรือไม่ก็สร้างบ้านทับแหล่งโบราณสถานแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็มี....
ไกด์ ชี้ไปที่บึงใหญ่ ท้าย ปราสาท ห้าหลังที่อยู่ติดกัน ว่า นั่นล่ะ น้ำไปอยู่ตรงนั้น ลึกแค่ไหนไม่มีใครรู้ แต่ ว่ากันว่ามีปลาใหญ่มากๆ อยู่ที่นั่น วันดีคืนดี ถ้าเป็ดของชาวบ้านคนไหน หนีเจ้าของไปว่ายน้ำเล่น...ก็จะหายไปทันที...เพราะมันจะกลายสภาพเป็นอาหารของสัตว์น้ำใต้บึงที่ไม่เคยมีใครได้เห็น....
แม้ว่า สิ่งที่ไกด์เล่าให้นักท่องเที่ยวอย่างฉันฟังจะผิดเพี้ยนไปจากประวัติศาสตร์อย่างสิ้นเชิง แต่มันก็ทำให้ทริปท่องเที่ยวนี้...สนุกสนานเต็มไปด้วยชีวิตชีวา..และข้อสำคัญ ฉันรู้สึกว่า มันจับต้องได้...เขาสามารถทำให้โบราณสถานที่มีแต่อิฐ หิน....และความขรึมขลัง มีชีวิตชีวา โลดเต้นไปกับยุคปัจจุบันแม้ว่ามันจะไม่มีแก่นสารเลยก็ตาม...
โฉมหน้าพี่ไกด์ที่ทำให้ทริปนี้สนุกมีชีวิตชีวา เรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ที่ผสมผสานกับความเชื่อของชาวบ้าน นิทานพื้นบ้านมันทำให้ก้อนอิฐเหล่านั้นมีชีวิตขึ้นมาทันที...
เดียง พลาโต เท่าที่ฉันเคยอ่านพบ.... ที่นี่เป็นปราสาทยุคแรกๆ ของฮินดูที่แพร่อิทธิพลมาถึงเกาะชวา และถือเป็นเทวสถานสถิตแห่งเทพเจ้าจำนวนมาก ที่ถูกสร้างขึ้นของลัทธิไศวนิกาย และมีอายุเก่าแก่ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 7 - 12
มีการพบจารึกภาษาสันสกฤต และมีผู้สันนิษฐานว่า เทวาลัยเหล่านี้อาจสร้างขึ้นโดยราชวงศ์มะตะรัมของพระเจ้าสัญชัย ซึ่งแผ่อิทธิพลครอบคลุมตลอดอาณาเขตชวาภาคกลาง ครั้งหนึ่งเดียงจึงเป็นอาณาจักรอันเฟื่องฟูของศาสนสถานและนักบวชฮินดู
ครั้นเมื่อศาสนาอิสลามรุ่งเรืองขึ้นแทนที่ เดียงก็ถูกเมินเฉย...ปล่อยให้เรื่องราวเลือนหายไปกับกาลเวลา..กระทั่งมาถึงปี ค.ศ.1830 ผู้คนเริ่มกลับมาตั้งถิ่นฐานอีกครั้ง และไม่มีใครรู้รายละเอียดเกี่ยวกับศาสนสถานแห่งนี้เลย และแน่นอน พวกเขาก็นำอิฐหินที่ดูประหนึ่งเป็นซากปรักหักพังเหล่านี้ มาใช้ประโยชน์ให้ตัวเองด้วยการสร้างบ้าน...
...เราอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่ไม่ได้นาน...ไกด์ก็สะกิดให้ไปต่อ...คราวนี้เราเดินไปยังปราสาทอีกหลังที่ยังหลงเหลือ Gatotkaga(จันทิคโตตกัตชะ) เทพผู้เหินไปในเวหาผู้ซึ่งเป็นบุตรของ เทพเจ้าภีมะ(จันทิภีมะ)...ก่อนที่เราจะได้เยือนวิหารแห่งเทพภีมะ... เทพผู้ทรงพลัง..ไกด์หันมาบอกกับเราว่า....เชื่อไม่เชื่อ แล้วแต่คุณนะ... ทีนี่ หากเดินวนรอบวิหารแล้วขอพรไปด้วย ก็จะได้ดังสิ่งหวัง.... ก่อนหน้าเรา มีชายหนุ่มสองคนชาวชวาที่ ดูจากการแต่งตัวแล้ว ไม่น่าจะเชื่อในสิ่งเหล่านี้...ยังไปเดินวนรอบวิหารเพื่อขอพร มีการโพสต์ท่าถ่ายรูปหลังขอพรเสร็จ ลีลาที่ไม่ต่างจากเด็กแนวบ้านเรา....
ไม่แน่ใจว่าควรโพสต์ยาวแค่ไหน มือใหม่อย่างฉันขอที่ละนิดแล้วกันนะคะ ตอนต่อไปกำลังตามมาติดๆ ค่ะ