เผยแพร่ครั้งแรกที่ www.manager.co.th/multimedia
"สำหรับดิฉัน
การเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ดิฉันจึงปรารถนาให้ประชาชน
ไม่เพียงมองความพยายาม ที่จะนำประชาธิปไตยมาสู่พม่าว่าเป็นเพียงขบวนการทางการเมืองอย่างหนึ่ง
แต่ขอให้มองว่าเป็นความพยายาม
ของประชาชนที่จะยืนยันสิทธิที่จะได้รับการ
ปฏิบัติอย่างมีคุณค่าสมเป็นมนุษย์"
นั่นคือคำกล่าวของนางออง ซาน
ซูจีเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 1996 ค่ะ
ปีนี้เธออายุ 64
ปีแล้วค่ะ(2555 ก็น่าจะ 67 ปี)....ผู้หญิงที่เคยประกาศต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า ว่า....
ความรักและสัจจะ จะโน้มน้าวใจมหาชนได้มากกว่าการบังคับ...
ออง ซานซูจี บุตรสาวของนายพล อองซาน
ที่หากนักท่องเที่ยวชาวไทยไปเยือนเมืองย่างกุ้ง คงต้องมีโปรแกรมไปชอปปิ้งที่ตลาดโบ
จ๊ก หรือตลาดอองซานพร้อมฟังประวัติของการสร้างตลาดนี้จากไกด์พม่ากันมาบ้าง...
หลังจากบิดาของออง ซานซูจี
ถูกลอบสังหารประเทศพม่าก็เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย แน่นอน
ระยะเวลานั้นหากใครเคยรู้ประวัติของออง ซานซูจี
คงทราบดีว่าเธอไม่ได้อยู่ในประเทศพม่า...เธอได้รับการดูแลจากมารดาผู้เข้มแข็งที่ได้รับการแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งทูตพม่าประจำประเทศอินเดีย
ที่นั่นเองที่อองซานซูจีได้ศึกษากระทั่งจบปริญญาตรีแล้วจึงเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษกระทั่งพบรักและแต่งงานกับสามีของเธอ
ไมเคิล อริส
ดิฉันเคยนึกสงสัยหลายครั้งค่ะ...เหตุใด
ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งจึงพลิกผันได้มากขนาดนี้...จากชีวิตที่ดำเนินไปอย่งเรียบง่ายมีครอบครัวที่อบอุ่น
สามีและลูก...มีหน้าที่การงานที่มั่นคง...
และไม่ค่อยสนใจเรื่องการเมืองของประเทศตัวเอง...
แต่แล้วด้วยฐานะของบุตรสาวนายพลอองซาน
ทำให้เธอผู้นี้ถูกผลักออกไปยืนแถวหน้า....ให้กลายเป็นผู้นำขวัญและกำลังใจของประชาชนในชาติในการเรียกร้องประชาธิปไตย...
ในช่วงเวลานั้นดิฉันเคยนึกสงสัยค่ะว่า ...เธอคิดอะไร?!!
เหตุไฉนเธอจึงหาญกล้าที่จะละทิ้งความสุข
ละทิ้งครอบครัวแล้วอุทิศตัวให้กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและสันติภาพ...เธอเลือกแล้วที่จะสละอิสรภาพของตัวเองเพื่อเพื่อนร่วมชาติที่ร่วมชะตากรรมเดียวกับเธอ...
หลังจากกลับมาบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อพยาบาลมารดาที่เจ็บหนัก นับแต่นั้นออง
ซาน
ซูจีก็ไม่เคยได้ออกไปจากแผ่นดินเกิดอีกเลย...แม้ช่วงเวลาที่บีบคั้นที่สุดในคราวที่สามีของเธอกำลังจากโลกนี้ไป...เธอก็ยืนหยัดที่จะยืนเคียงข้างประชาชนของตัวเองต่อสู้กับความไม่ยุติธรรมทั้งหลายด้วยวิธีสันติ...
จากวันที่ 8 เดือน 8 ปี 1988 เหตุการณ์ที่พลิกผันทำให้ชาวพม่าตกอยู่ในภาวะแร้นแค้นกระทั่งปัจจุบัน
จากวันนั้นกระทั่งวันนี้ ออง ซาน
ซูจีพยายามเรียกร้องให้ทั่วโลกหันมามองพม่าที่ตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการ ออง ซาน
ซูจี เคยกล่าวไว้ว่า ...ประชาธิปไตยที่พวกเราเรียกร้องกันอยู่คือ
ภาวะที่ประชาชนสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ อย่างเงียบสงบ ภายใต้ระเบียบแห่งกฎหมาย
ได้รับการคุ้มครองจากหน่วยงานที่มีหน้าที่ปกป้องสิทธิของพวกเรา
เป็นสิทธิที่ช่วยให้เราธำรงศักดิ์ศรีแห่งมนุษย์เอาไว้ได้....
หลังจากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของเธอเพียง 5 ปี ออง
ซานซูจีก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
รางวัลที่เธอไม่มีโอกาสเดินทางไปรับด้วยตัวเอง...
กระทั่งวันนี้ นับเนื่องมา 20 ปีแล้ว ออง ซาน ซูจี
ยังคงยืนหยัดที่จะต่อสู้เพื่อให้ได้อิสรภาพและประชาธิปไตยที่บ้านเกิดเมืองนอนของเธอ...กับภาวะที่ถูกจองจำ
อิสรภาพ
ดิฉันมีโอกาสถามไถ่ชาวพม่ารุ่นใหม่ที่
ถูกปิดปากเรื่องการเมือง ถูกห้ามไม่ให้พูดเรื่องประชาธิปไตยและออง ซาน
ซูจีในพื้นที่สาธารณะ ครั้นมีโอกาสพวกเขาตอบคำถามที่ดิฉันถามถึงความรู้สึกของพวกเขาที่มีออง
ซาน ซูจี ว่า แท้จริงแล้วพวกเขาคิดอย่างไร...
นางเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่รอวันเหี่ยวเฉาไปกับกาลเวลาเท่านั้นหรือไม่....
คนพม่ารุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งตอบกลับมาว่า
นางยังอยู่ในดวงใจพวกเขาเสมอ....คำนี้ทำให้ดิฉันไม่คิดจะถามอะไรต่อไปอีกแล้วค่ะ
ออง ซาน ซูจี
ทำให้ดิฉันนึกถึงบทเพลงที่มีศิลปินต่างชาติแต่งไว้ให้กับเธอ หนึ่งคือวง U2 กับเพลง walk
on ถ้าจะว่ากันไปบทเพลงของ วง U2
นี้ก็มักจะมีเนื้อหาเรียกร้องสิทธิมนุษยชนอยู่แล้ว
พวกเขามีหลายเพลงที่แต่งให้กับบุคคลสำคัญๆที่ต่อสู้เพื่อสิทธิและความถูกต้องของสังคมหลายเพลง
เช่นเพลง Pride (In the name of Love) ที่พวกเขาแต่งให้กับมาร์ติน
ลูเธอร์ คิง และเพลงนี้ก็เช่นกัน walk on พวกเขาแต่งให้กับนาง
ออง ซาน ซูจี
อีกเพลงหนึ่งคือ unplayed piano ที่แต่งโดย
Damien rice ครั้งที่เขาเดินทางไปพม่าและรับรู้เรื่องราวของอองซานซูจี....และแต่งเพลงนี้ขึ้นเพื่ออวยพรวันเกิดของเธอ
เขาเคยกล่าวไว้ว่า
เขามักไม่ชอบก้าวก่ายความเป็นไปในโลกใบนี้
แต่เมื่อมีใครสักคนทีมีชื่อเสียงถูกเหวี่ยงเข้าไปในหลุมและเขาก็ร้องเรียกให้เราไต่เชือกลงไป, เขารู้สึกยินดีที่จะทำตามโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่มีมารยาทงดงามเช่นนี้
ชะตากรรมของออง ซาน
ซูจีจะไปเช่นไรต่อไปมิอาจรู้ได้... พวกเราคนภายนอกก็ได้แต่เรียกร้อง
ร่ำร้องให้แด่เธอ แต่มันจะสะท้าน
สะเทือนไปถึงหัวใจของผู้นำประเทศของเธอหรือไม่นั้น...คงเป็นเรื่องยาก...
อองซานซูจี เคยกล่าวไว้ว่า
เธอหวังว่าชาวพม่าจำนวนมาก จะตระหนักถึงสัญชาตญาณภายในที่กระตุ้นให้เราพยายามมองหา
สวรรค์และเสียงอันหนักแน่นที่คอยพร่ำบอกแก่เราว่า
เบื้องหลังก้อนเมฆที่เรียงรายสลับซํบซ้อน ยังคงมีพระอาทิตย์ที่คอยเวลาอันเหมาะสม
จะโผล่พ้นออกมาให้แสงสว่างคุ้มครองเราเสมอ...