6/14/2555

บทเพลงเพื่อเธอ อองซานซูจี

บทความนี้เขียนไว้ตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2552
เผยแพร่ครั้งแรกที่ www.manager.co.th/multimedia


"สำหรับดิฉัน การเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ดิฉันจึงปรารถนาให้ประชาชน ไม่เพียงมองความพยายาม ที่จะนำประชาธิปไตยมาสู่พม่าว่าเป็นเพียงขบวนการทางการเมืองอย่างหนึ่ง 
แต่ขอให้มองว่าเป็นความพยายาม ของประชาชนที่จะยืนยันสิทธิที่จะได้รับการ 
ปฏิบัติอย่างมีคุณค่าสมเป็นมนุษย์"
       นั่นคือคำกล่าวของนางออง ซาน ซูจีเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 1996 ค่ะ
       ปีนี้เธออายุ 64 ปีแล้วค่ะ(2555 ก็น่าจะ 67 ปี)....ผู้หญิงที่เคยประกาศต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า ว่า.... ความรักและสัจจะ จะโน้มน้าวใจมหาชนได้มากกว่าการบังคับ...      
       ออง ซานซูจี บุตรสาวของนายพล อองซาน ที่หากนักท่องเที่ยวชาวไทยไปเยือนเมืองย่างกุ้ง คงต้องมีโปรแกรมไปชอปปิ้งที่ตลาดโบ จ๊ก หรือตลาดอองซานพร้อมฟังประวัติของการสร้างตลาดนี้จากไกด์พม่ากันมาบ้าง...



       หลังจากบิดาของออง ซานซูจี ถูกลอบสังหารประเทศพม่าก็เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย แน่นอน ระยะเวลานั้นหากใครเคยรู้ประวัติของออง ซานซูจี คงทราบดีว่าเธอไม่ได้อยู่ในประเทศพม่า...เธอได้รับการดูแลจากมารดาผู้เข้มแข็งที่ได้รับการแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งทูตพม่าประจำประเทศอินเดีย ที่นั่นเองที่อองซานซูจีได้ศึกษากระทั่งจบปริญญาตรีแล้วจึงเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษกระทั่งพบรักและแต่งงานกับสามีของเธอ
ไมเคิล อริส
       ดิฉันเคยนึกสงสัยหลายครั้งค่ะ...เหตุใด ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งจึงพลิกผันได้มากขนาดนี้...จากชีวิตที่ดำเนินไปอย่งเรียบง่ายมีครอบครัวที่อบอุ่น สามีและลูก...มีหน้าที่การงานที่มั่นคง... และไม่ค่อยสนใจเรื่องการเมืองของประเทศตัวเอง...
      
       แต่แล้วด้วยฐานะของบุตรสาวนายพลอองซาน ทำให้เธอผู้นี้ถูกผลักออกไปยืนแถวหน้า....ให้กลายเป็นผู้นำขวัญและกำลังใจของประชาชนในชาติในการเรียกร้องประชาธิปไตย... ในช่วงเวลานั้นดิฉันเคยนึกสงสัยค่ะว่า ...เธอคิดอะไร?!!
       เหตุไฉนเธอจึงหาญกล้าที่จะละทิ้งความสุข ละทิ้งครอบครัวแล้วอุทิศตัวให้กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและสันติภาพ...เธอเลือกแล้วที่จะสละอิสรภาพของตัวเองเพื่อเพื่อนร่วมชาติที่ร่วมชะตากรรมเดียวกับเธอ...      
       หลังจากกลับมาบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อพยาบาลมารดาที่เจ็บหนัก นับแต่นั้นออง ซาน ซูจีก็ไม่เคยได้ออกไปจากแผ่นดินเกิดอีกเลย...แม้ช่วงเวลาที่บีบคั้นที่สุดในคราวที่สามีของเธอกำลังจากโลกนี้ไป...เธอก็ยืนหยัดที่จะยืนเคียงข้างประชาชนของตัวเองต่อสู้กับความไม่ยุติธรรมทั้งหลายด้วยวิธีสันติ...
      
       จากวันที่ 8 เดือน 8 ปี 1988 เหตุการณ์ที่พลิกผันทำให้ชาวพม่าตกอยู่ในภาวะแร้นแค้นกระทั่งปัจจุบัน จากวันนั้นกระทั่งวันนี้ ออง ซาน ซูจีพยายามเรียกร้องให้ทั่วโลกหันมามองพม่าที่ตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการ ออง ซาน ซูจี เคยกล่าวไว้ว่า ...ประชาธิปไตยที่พวกเราเรียกร้องกันอยู่คือ ภาวะที่ประชาชนสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ อย่างเงียบสงบ ภายใต้ระเบียบแห่งกฎหมาย ได้รับการคุ้มครองจากหน่วยงานที่มีหน้าที่ปกป้องสิทธิของพวกเรา เป็นสิทธิที่ช่วยให้เราธำรงศักดิ์ศรีแห่งมนุษย์เอาไว้ได้....
      
       หลังจากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของเธอเพียง 5 ปี ออง ซานซูจีก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ รางวัลที่เธอไม่มีโอกาสเดินทางไปรับด้วยตัวเอง...
      
       กระทั่งวันนี้ นับเนื่องมา 20 ปีแล้ว ออง ซาน ซูจี ยังคงยืนหยัดที่จะต่อสู้เพื่อให้ได้อิสรภาพและประชาธิปไตยที่บ้านเกิดเมืองนอนของเธอ...กับภาวะที่ถูกจองจำ อิสรภาพ
      
       ดิฉันมีโอกาสถามไถ่ชาวพม่ารุ่นใหม่ที่ ถูกปิดปากเรื่องการเมือง ถูกห้ามไม่ให้พูดเรื่องประชาธิปไตยและออง ซาน ซูจีในพื้นที่สาธารณะ ครั้นมีโอกาสพวกเขาตอบคำถามที่ดิฉันถามถึงความรู้สึกของพวกเขาที่มีออง ซาน ซูจี ว่า แท้จริงแล้วพวกเขาคิดอย่างไร... นางเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่รอวันเหี่ยวเฉาไปกับกาลเวลาเท่านั้นหรือไม่.... คนพม่ารุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งตอบกลับมาว่า นางยังอยู่ในดวงใจพวกเขาเสมอ....คำนี้ทำให้ดิฉันไม่คิดจะถามอะไรต่อไปอีกแล้วค่ะ

       ออง ซาน ซูจี ทำให้ดิฉันนึกถึงบทเพลงที่มีศิลปินต่างชาติแต่งไว้ให้กับเธอ หนึ่งคือวง U2 กับเพลง walk on ถ้าจะว่ากันไปบทเพลงของ วง U2 นี้ก็มักจะมีเนื้อหาเรียกร้องสิทธิมนุษยชนอยู่แล้ว พวกเขามีหลายเพลงที่แต่งให้กับบุคคลสำคัญๆที่ต่อสู้เพื่อสิทธิและความถูกต้องของสังคมหลายเพลง เช่นเพลง Pride (In the name of Love) ที่พวกเขาแต่งให้กับมาร์ติน ลูเธอร์ คิง และเพลงนี้ก็เช่นกัน walk on พวกเขาแต่งให้กับนาง ออง ซาน ซูจี
      
       อีกเพลงหนึ่งคือ unplayed piano ที่แต่งโดย Damien rice ครั้งที่เขาเดินทางไปพม่าและรับรู้เรื่องราวของอองซานซูจี....และแต่งเพลงนี้ขึ้นเพื่ออวยพรวันเกิดของเธอ
       เขาเคยกล่าวไว้ว่า เขามักไม่ชอบก้าวก่ายความเป็นไปในโลกใบนี้ แต่เมื่อมีใครสักคนทีมีชื่อเสียงถูกเหวี่ยงเข้าไปในหลุมและเขาก็ร้องเรียกให้เราไต่เชือกลงไป, เขารู้สึกยินดีที่จะทำตามโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่มีมารยาทงดงามเช่นนี้
      
       ชะตากรรมของออง ซาน ซูจีจะไปเช่นไรต่อไปมิอาจรู้ได้... พวกเราคนภายนอกก็ได้แต่เรียกร้อง ร่ำร้องให้แด่เธอ แต่มันจะสะท้าน สะเทือนไปถึงหัวใจของผู้นำประเทศของเธอหรือไม่นั้น...คงเป็นเรื่องยาก...
      
       อองซานซูจี เคยกล่าวไว้ว่า เธอหวังว่าชาวพม่าจำนวนมาก จะตระหนักถึงสัญชาตญาณภายในที่กระตุ้นให้เราพยายามมองหา สวรรค์และเสียงอันหนักแน่นที่คอยพร่ำบอกแก่เราว่า เบื้องหลังก้อนเมฆที่เรียงรายสลับซํบซ้อน ยังคงมีพระอาทิตย์ที่คอยเวลาอันเหมาะสม จะโผล่พ้นออกมาให้แสงสว่างคุ้มครองเราเสมอ...
       

6/12/2555

ผู้หญิง ร้ายจริงหรือ....



เผยแพร่ครั้งแรกที่ www.manager.co.th / multimedia 17 กรกฎาคม 2552 17:13 น






       
       ตำนานที่ว่านี้สอดคล้องกับเรื่องเล่า vagina dentata หรือช่องคลอดที่มีฟัน คำนี้หลายคนคงคุ้น และเคยทราบประวัติกันมาบ้าง ตำนานอวัยวะเพศหญิงนี้สอดคล้องกันหลายพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นชนพื้นเมืองของอเมริกา หรือความเชื่อของชาวจีนโบราณบางกลุ่มที่กล่าวว่า อวัยวะเพศหญิงนั้นไม่เพียงแต่จะเป็นประตูไปสู่ความเป็นอมตะเท่านั้น แต่มันอาจเป็นเพชรฌฆาตประหารผู้ชายได้อีกด้วย
       
       ชาวโพลีนีเซียก็มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า maui ได้พยายามหาความเป็นอมตะด้วยการคลานเข้าไปในปากของ hina ผู้มารดา แต่สิ่งที่ maui ได้รับคือ hina กัดเขาขาดเป็นสองท่อน!!
       
       หากใครเป็นผู้ชื่นชอบในการชมภาพยนตร์ต่างประเทศคงคุ้นกับเรื่อง teeth ที่ตัวเอกของเรื่องมีอาการเช่นว่านี้ หากชายใดมุ่งจะทำร้ายตัวเธอ....
       
       เรื่องเล่าร้ายๆของผู้หญิงมีอีกหลายเรื่อง แต่มีเรื่องหนึ่งที่ดิฉันชื่นชอบ ก็คือ เรื่องของ แพนโดรา Pandora ผู้เป็นที่มาของ pandora’s box ผู้ให้กำเนิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ร่วมกับไททันเอพะมีธีส ถือได้ว่าแพนโดราเป็นสตรีนางแรกของโลกมนุษย์ที่ถูกทำให้ไม่สามารถเก็บความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองเอาไว้ได้ กระทั่งต้องเผลอไปเปิดกล่องแพนโดรา ที่เทพซุสได้มอบให้แก่นางก่อนลงมาโลกมนุษย์ จนกระทั่งทำให้ความชั่วร้ายหลุดรอดออกมาจากกล่องใบนั้น ก่อให้มนุษย์ทุกผู้นาม มีจิตใจที่ไม่บริสุทธิ์ และเริ่มเข่นฆ่ากันเอง
       
       และด้วยความตกใจแพนโดรารีบปิดกล่องนั้น แต่กลายเป็นว่านางได้เก็บกักความหวัง ความดีที่เป็นตัวทำลายความชั่วร้ายไว้ในกล่องใบนั้นแทน สุดท้ายเทพเจ้าก็ต้องบันดาลให้เกิดน้ำท่วมโลกล้างเผ่าพันธุ์ที่ชั่วร้ายให้หมดไป เหลือแต่มนุษย์ผู้มีจิตใจดีงาม และดำรงเผ่าพันธุ์สืบต่อมา.....
       
       ตำนานของสตรีอีกนางหนึ่งที่ร้ายไม่แพ้กัน ก็คือ เมดูซา Medusa แม้ว่านางจะมีความงดงามมาก่อน แต่นางก็ถูกทำให้กลายเป็นหญิงอัปลักษณ์ที่หากใครมองดวงตาของนางแล้วก็จะกลายเป็นหินทันที
       
       เรื่องเล่าของเมดูซา นั้นออกจะต่างจากสองเรื่องที่ดิฉันนำมาเสนอพร้อมกัน ตรงที่ว่า มันเป็นเรื่องของความไม่ลงรอยระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิง
       ส่วนใหญ่ มักกล่าวว่าเมดูซาเป็นหญิงงามมีพี่สาวอีกสองคนที่เป็นอมตะ ส่วนตัวนางนั้นยังมีเลือดเนื้อ มีความเป็นมนุษย์อยู่ แน่นอนว่าหญิงงามย่อมเป็นที่หมายปองของชายหนุ่ม และมีเทพีคู่อาฆาตคืออาเธน่า ที่เป็นเทพีอุปถัมภ์สาวพรหมจรรย์
       
       มันคงไม่เกิดเรื่องใดๆ หากวันหนึ่งขณะที่ เมดูซากำลังบูชาเทพีอเธนาอยู่นั้น เทพโพไซดอนไม่เข้ามาข่มขืนนาง เมื่ออเธนาเห็นเช่นนั้นจึงบันดาลโทสะกล่าวว่า เมดูซาลบหลู่วิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของนาง จึงสาปให้เมดูซามีผมเป็นงู และหากใครมองดวงตาของนางก็จะกลายเป็นหินทันที....
       
       แต่บางตำนานกล่าวว่า เมดูซาเป็นหญิงงาม และดำรงอยู่ในดินแดนแสนไกลที่ดวงอาทิตย์มิอาจไปเยือน อยู่มาวันหนึ่งด้วยความสนใจใคร่รู้ เมดูซาได้ขออนุญาตเทพีอเธนาไปเยือนดินแดนทางใต้ เพื่อนางจะได้สัมผัสแสงแห่งอาทิตย์ แต่...อเธนาปฏิเสธคำขอนั้นของเมดูซา จึงทำให้นางโกรธและท้าทายเทพีอเธนาว่า เหตุที่ไม่ยินยอมให้นางได้เดินทางไปนั้น เพราะริษยาในความงามของเมดูซา... และนั่นจึงทำให้เทพีอเธนาโกรธและลงโทษเมดูซาด้วยการเปลี่ยนผมให้กลายเป็นงูและหากใครมองตาก็จะกลายเป็นหินทันที
       
       อาณาจักรกรีกยุคแรกๆ มีวิหารแห่งเมดูซา แต่ต่อมาถูกทำลายไปแบบไม่เหลือซาก และชาวกรีกในยุคหลังก็นำตำนานเมดูซามาเล่าใหม่ ให้นางกลายเป็นมารร้ายที่คอยทำร้ายผู้คนให้กลายเป็นหิน และสุดท้ายเมดูซาก็ถูกปราบโดย เพอร์ซิอุส และพากันยกย่องเทพีอเธนาให้เป็นเทพีที่ผู้หญิงกรีกต้องใช้เป็นแบบอย่าง ในการรักษาพรหมจรรย์และรับใช้ครอบครัว และซื่อสัตย์ต่อบิดาของตัวเอง ดังเช่นอเธน่าจงรักภักดีต่อเทพซุส
        *****************

       น่าแปลกที่ เมดูซามีการกล่าวถึงจากนักสตรีนิยม โดยกำหนดให้นางเป็นสัญลักษณ์ของความเดือดดาลของเพศหญิง นอกจากความเป็นต้นแบบของหญิงร้ายแล้ว เมดูซายังกลายเป็นสัญลักษณ์สินค้ายี่ห้อดังก้องโลกอย่าง Versace อีกด้วย
       
       ผู้หญิงร้ายๆ ที่ดิฉันหยิบยกมาเล่าในครั้งนี้ หากมองกันจริงๆ แล้ว บางที เราอาจมีคำถามในใจก็เป็นได้ ว่า .... ผู้หญิงนั้น ร้าย จริง หรือ...