7/19/2554

โจนี่ มิทเชล ; ฉันเป็นจิตรกร ก่อนจะเป็นนักร้อง

       .....ให้ฉันร่วมทางไปกับท่านได้ไหม....
       ฉันมาที่นี่เพื่อหลีกหนี หมอกควันพิษ
       ฉันรู้สึกตัวเองเป็นเช่นฟันเฟือง
       ในบางสิ่งบางอย่างที่กำลังหมุนไป
       มันอาจเป็นกาลเวลาแห่งปี
       หรือมันอาจเป็นกาลเวลาของมวลมนุษย์
       ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำ...ว่าฉันเป็นใคร!!
       แต่...ชีวิตก็ย่อมมีการเสาะแสวงเรียนรู้
       เราเป็นละอองดาว....
       เราเป็นธุลีทอง...
       เราจะพาตัวเองกลับไปสู่อุทยาน.....
      
       เนื้อหาของบทเพลง wood stock ที่บรรจงเขียนขึ้นโดยศิลปินหญิงผู้นี้ Joni Mitchell เธอแต่งเพลงนี้ขึ้นหลังจากที่ได้ยินเรื่องราวเทศกาลดนตรีwood stock จากเพื่อนชายของเธอ... แม้เธอไม่ได้ไปที่นั่นด้วยตัวเอง...และบทเพลงนี้ถูกเขียนขึ้นเมื่อเธอนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์...แต่มันก็กลายเป็นบทเพลงที่ตรึงใจผู้คนในยุคนั้น ตราบจนกระทั่งปัจจุบัน...
      
       โจนี มิทเชล เคยบอกว่า เธอเป็นจิตรกรในลำดับแรกก่อนจะเป็นนักดนตรีในลำดับถัดมา... แต่ทั้งสองสิ่งที่เธอทุ่มเททำงานออกมานั้นล้วนกลั่นกรองจากท่วงทำนองของชีวิตเธอทั้งสิ้น...
      
       ชื่อเดิมของเธอคือ Roberta Joan Anderson เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนในปี 1943 บ้านเกิดของเธอคือแคนาดา แม่ของเธอมีอาชีพเป็นครูขณะที่พ่อของเธอทำงานเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ในกองทัพอากาศแคนาดา
      
       ในช่วงสงครามเธอและครอบครัวอพยพไปอยู่ทางด้านตะวันตกของแคนาดา หลังจากสงครามสงบ พ่อของเธอก็เริ่มต้นทำงานเป็นคนขายของชำ เพราะหน้าที่การงานเช่นนี้จึงทำให้ครอบครัวของเธออพยพมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่เมืองซาสคาทูน ,รัฐซาสแก็ตชวาน Saskatoon,Saskatchewan เมื่อเธอมีอายุประมาณ 11 ปี
      
       ก่อนหน้านั้นเมื่ออายุ 9 ขวบเธอประสบภาวะโปลิโอ ทำให้เธอต้องเข้ารับการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล และที่นั่นราวกับจะเปิดจังหวะชีวิตที่ทำให้เธอเริ่มต้นสนใจในการร้องเพลงเป็นครั้งแรก....
      
       เธอเล่าว่า ..ในครั้งนั้นหมอบอกกับเธอว่า เธออาจจะกลับมาเดินอีกครั้งไม่ได้และไม่ได้กลับบ้านในวันคริสต์มาส...เธอครุ่นคิด ก่อนจะเริ่มต้นร้องเพลงวันคริสต์มาสขึ้นที่เตียงนอนในโรงพยาบาล ในจังหวะชีวิตเช่นนี้เอง ที่ทำให้โจนี มิทเชลกลายเป็นเด็กที่โตเกินวัย
      
       เธอเริ่มสูบบุหรี่ด้วยในเวลานั้น เธอคิดว่ามันทำให้เธอรู้สึกฉลาดมากขึ้น...และช่วงเวลาที่โรงพยาบาลขณะพักรักษาตัวอยู่นี่เอง ที่เธอกล่าวว่า มันคือช่วงเวลาที่..ใส่ความเป็นมนุษย์ ให้แก่เธอ...
      
       หลังจากเธอหายจากอาการโปลิโอแล้ว ย้ายไปอยู่ที่เมืองซาสคาทูนกับครอบครัว โจนีก็ได้เริ่มต้นเรียนเปียโน เธอเริ่มอยากประพันธ์เพลงของตัวเอง แต่ยังไม่สบช่องทาง กระทั่งเธอมาพบกับครูคนหนึ่งที่เปิดพลังสร้างสรรค์ภายในของเธอออกมาด้วยประโยคที่ว่า ...ถ้าเราสามารถวาดภาพด้วยพู่กันได้ เราก็สามารถวาดภาพด้วยตัวหนังสือได้เช่นเดียวกัน...
      
       ด้วยคำพูดนี้เองที่ตรึงอยู่ในสมองเล็กๆ ของเด็กผู้หญิงคนนี้กระทั่งเป็นแรงขับให้เธอเติบโตกลายมาเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงเช่นในปัจจุบัน
      
       ในช่วงวัยรุ่นเธอเริ่มต้นหัดกีตาร์และเครื่องดีดอื่นๆ ด้วยตัวเอง และเริ่มออกงานแสดงตามงานเลี้ยงสังสรรค์ต่างๆ ก่อนจะหันไปเล่นจริงจังในร้านกาแฟและคลับ หลังจากที่เธอสำเร็จการศึกษาในชั้นมัธยมปลาย เธอเข้าเรียนต่อที่ Alberta College of Art and Design เพียงปีเดียว เธอก็หันหลังออกมาจากวิทยาลัยแห่งนั้น และเธอได้บอกแม่ของตัวเองว่า เธอจะไปโตรอนโตเพื่อจะเป็นนักร้องโฟลค์ซอง
      
       แม้เธอจะบอกว่า เธอมีแรงปรารถนาจะเป็นจิตรกร แต่เธอก็คิดถึงประโยคอมตะที่จุดประกายให้เธอหันมาสร้างสรรค์งานศิลปะแขนงต่างๆ ด้วยการเติมประโยคต่อไปด้วยว่า ถ้าคนเราสามารถวาดภาพด้วยตัวหนังสือได้ ก็สามารถวาดภาพด้วยเสียงดนตรีได้เช่นเดียวกัน... เธอจึงหันมาสนใจสร้างสรรค์ผลงานศิลปะทั้งสองแขนงนี้ไปพร้อมๆ กัน งานจิตรกรรมหลายชิ้นของโจนี มิทเชล ถูกนำมาใช้ประกอบในอัลบั้มต่างๆในผลงานเพลงของเธอเอง
      
       หลังจากนั้นไม่นานในปี 1964 เธอจากบ้านมาและพบว่าตัวเองตั้งท้อง เธอตัดสินใจแต่งงานกับสามีผู้ที่ทำให้เธอเปลี่ยนมาใช้นามสกุลมิทเชลกระทั่งปัจจุบัน หลังจากทึ่คลอดลูกสาวออกมาแล้ว สามีของเธอ Chuck Mitchell ก็พาเธอเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาด้วยกันในปี 1967 นับแต่นั้นโจนี มิทเชลก็เริ่มเป็นรู้จักกันในหมู่นักฟังเพลง ยุคบุปผาชน....
      
       ภายในเวลาไม่กี่ปี โจนี มิทเชลก็ได้บันทึกแผ่นเสียงของตัวเองและชื่อเสียงของเธอก็โด่งดังไปทั่ว เธอได้รับรางวัลแกรมมี่ ในปี 1970 ผลงานของเธอขายดีติดอันดับ เธอตระเวนแสดงดนตรีหลายแห่ง กระทั่งเธอตัดสินใจยุติการเดินทางและหันมาให้เวลาตัวเองกับการเขียนเพลงและงานจิตรกรรม ก่อนที่เธอจะกลับไปบันทึกแผ่นเสียงในชุดต่อไป...
      
       เธอเป็นนักดนตรีผู้หญิงเพียงไม่กี่คนที่มีผลงานโดดเด่นทั้งเขียนเพลง เล่นดนตรีและร้องเอง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ งานเพลงของเธอหลายชิ้นเป็นที่ชื่นชอบของผู้ฟัง เพราะมันเหมือนกับผู้ฟังกำลังฟังเธอเล่าความคิดของตัวเองให้ฟัง....
      
       ปัจจุบันนี้เธอยังมีชีวิตอยู่ค่ะ ไม่กี่ปีที่ผ่านมายังมีงานเพลงของเธอที่ให้นักร้องนักดนตรีอื่นร้องรวมเป็นชุดออกวางจำหน่าย แม้ว่าคุณภาพของนักร้องที่ถูกคัดมาร้องจะเฉียบและมีเสน่ห์ปานใด ผู้ที่ติดตามงานเพลงของโจนี ก็ยังอยากจะได้ยินเสียงร้องของเธอเช่นเดิม...
      
       ช่วงหนึ่งของชีวิตเธอเคยหันหลังให้กับงานดนตรีแล้วกลับไปทุ่มเททำงานจิตรกรรมอย่างจริงจัง เธอเคยให้สัมภาษณ์ไว้ เธอทำงานจิตรกรรมจากหัวใจและงานดนตรีเป็นเพียงงานอดิเรกของเธอเท่านั้น
      
       บทเพลงที่เธอเคยรังสรรค์มันไว้ตั้งแต่ครั้งเข้าวงการใหม่ๆ Both Sides, Now ราวกับจะเป็นคำประกาศที่เธอมีต่อทุกผู้คน...ประกาศเพื่อให้เราหันกลับมามองดูตัวเองถึงความเป็นไป...ว่าแท้แล้ว เราเข้าใจความเป็นไปของโลก มากน้อยเพียงไร...หรือ เราจะเป็นเช่นเธอ ผู้ซึ่งยังมีความ ไม่รู้อีกมากมาย
      
       เธอยอมรับอย่างภาคภูมิถึง ความไม่รู้ของตัวเอง ขณะเดียวกับที่เธอก็ ใฝ่ที่จะเรียนรู้โลกต่อไป..ตราบกระทั่งสิ้นลมหายใจ......

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น