7/19/2554

ท่องถิ่นไทดำ

ในความเป็นจริงบนโลกใบนี้ เราจะมี “คน” ที่แต่ละรัฐ ทำตกหล่นอยู่สักกี่มากน้อย เป็นจำนวนที่น่าค้นหา...คนผู้ที่หายไปจากความสำคัญของโลก เผ่าพันธุ์ที่ค่อยๆ ถูกกลืนกลาย จะมีอยู่สักเท่าไรกัน?!...
หลายคน คงคุ้นกับบทเพลง ไทดำรำพันกันบ้าง ด้วยว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักร้องร่วมสมัยของไทยก็เพิ่งจะนำมาร้องเล่นกันใหม่ บทเพลงที่ฉันฟังทีไรก็รู้สึกใจหายทุกที หาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่า ทำไมถึงผูกพันกับคนไทดำนักหนา... เฉกเดียวกับเพลงดวงจำปา ยามเมื่อได้ฟังจากนักร้องชาวลาว ก็คล้ายมีก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่อกเสมอ...

มีเรื่องเล่าว่าชาวไทดำกลุ่มหนึ่งถูกกวาดต้อนกันมาจากเมืองแถน ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นให้มาตั้งรกรากอยู่ที่เขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ฉันมีโอกาสไปเที่ยวเล่นในหมู่บ้านแห่งนี้อยู่หลายครั้ง นอกจากที่นี่ฉันยังเคยไปเที่ยวชมหมู่บ้านไทดำที่อำเภอเชียงคาน ด้วยเชื่อตามสารคดีทางโทรทัศน์ที่เคย นำเสนอว่า ไทดำจากเขาย้อยเมื่อถูกอพยพมาสมัยหนึ่ง เกิดความคิดถึงบ้านจึงรวบรวมสมัครพรรคพวก พากันเดินทางกลับบ้าน ตลอดเส้นทางก็มีคนถอดใจตามรายทาง จึงกลายเป็นเส้นทางอาศัยของไทดำที่เริ่มตั้งแต่เขาย้อย เพชรบุรี เรื่อยมาทางนครปฐม กระทั่งมาถึงริมฝั่งแม่น้ำโขง ที่เชียงคาน เมืองเลย ก็เกิดไม่อยากข้ามกลับฝั่งโน้น เลยลงหลักปักฐานอยู่ทางฝั่งนี้นับแต่นั้นมา เราจึงมีหมู่บ้านไทดำที่เชียงคานมาจนถึงทุกวันนี้

ฉันเคยสนทนากับไทดำที่เชียงคานคนหนึ่ง เขาเล่าว่า ยามสงครามที่ต้องพลัดพรากจากกัน พวกเขาจะใช้การตั้งชื่อ และสกุล โดยมีคำว่า สิงห์ อยู่ด้วยเสมอ เป็นอันรู้กันว่า หากใครมีคำนี้อยู่ คนนั้นก็เป็นหนึ่งในผู้สืบสายไทดำแน่นอน ฉันไปถามคำถามนี้กับไทดำที่เขาย้อย.... แม้จะเป็นผู้สูงอายุแล้ว แต่ไม่เคยมีคำตอบให้กับฉันเลย...

อีกครั้งหนึ่งด้วยเหตุบังเอิญ ฉันไปเจอไทดำที่เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว ด้วยความตื่นเต้นดีใจ เสมือนพบญาติผู้ใหญ่ ฉันก็ไปถามเขาอีกเรื่องคำว่า สิงห์...คราวนี้ ยิ่งงงกันเข้าไปใหญ่ ....ไม่มีคำตอบ...ฉันหยิบผ้าโพกหัวไทดำที่ซื้อจากเขาย้อยให้ดู... ไทดำหลวงพระบางบอก ไม่ใช่ของเขา....
                                                ………………………
หลายปีผ่านไป ฉันเกิดนึกสนุกอยากจะไปเมืองแถน ไปให้เห็นกับตาสักที ตามตำราที่ว่า ไทดำนั้นมาจากเมืองแถน แคว้นสิบสองจุไท เมืองแถนถือเป็นศูนย์กลางของไทดำ ที่ซึ่งมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ภาษาพูดและเขียนเป็นของตัวเอง

แล้วการเดินทางก็เริ่มขึ้น... เริ่มจากความเคยชินที่คิดว่าหนทางง่ายๆ เช่นนี้เราน่าจะไปเองได้ไม่ยากอะไร...เวียดนาม ...ประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เคยมีประวัติศาสตร์ตามที่เราร่ำเรียนกันมาว่า สยามเคยยกทัพไปเกณฑ์ไพร่พลมาได้จากเมืองแถน....

เวียดนามประเทศที่บอบช้ำจากสงครามและเมืองอาณานิคม...... หากคิดจะไปท่องเที่ยวที่ฮานอย อาจต้องทำใจกับ ทริกที่ชาวเวียดจะประเคนมาให้นักท่องเที่ยวอย่างตั้งตัวไม่ติด แม้จะเคยไปและรู้เล่ห์เหลี่ยมมาบ้างแล้ว ก็ยังไม่วายโดนอีกจนได้...

ฉันพยายามหาสถานที่ขายตั๋วรถที่จะเดินทางไปเดียนเบียนฟูด้วยตัวเอง พยายามถามทางไปสถานีรถประจำทาง....ไม่สำเร็จ...ที่สุดแล้วดูเหมือนเราจะได้รับคำแนะนำที่ดีจากเจ้าหน้าที่โรงแรมให้เรานั่งรถไฟไปถึงลาวไกก่อนจึงนั่งรถประจำทางต่อไปยังเดียนเบียนฟู...

ระยะทางที่แท้จริงระหว่างฮานอยไปถึงเดียนเบียนฟู เพียง 200 กิโลเมตรเศษๆ  แน่นอนมีรถประจำทางจากฮานอยไปที่ถึงที่นั่นด้วยราคาไม่แพง แต่... ฉันกลับต้องใช้เวลาหนึ่งคืนและหนึ่งวัน กับการนั่งรถไฟขึ้นเหนือแล้วจึงนั่งรถประจำทางลงใต้มาอีกครั้ง ด้วยคำแนะนำที่ดีของเจ้าพนักงานโรงแรม!!
..............ที่สุดแล้ว เราก็มาจนถึง เดียนเบียนฟู.............

ภาพเมืองแถนในฝันที่วาดเอาไว้ ว่า เราจะต้องเจอกับผู้คนที่ต่างก็สวมชุดไทดำ พูดคำไทที่ทำให้เราผู้มาจากรากภาษาเดียวกันคุยกันรู้เรื่อง ค่อยๆ มลายหายไปจากใจ เมื่อสิ่งที่เราเผชิญอยู่ตรงหน้านั้น ช่างอลหม่านไปด้วยผู้คนที่ต่างก็กรูเข้ามาเพื่อให้เราตัดสินใจไปพักที่โรงแรมของเขา....

เดียนเบียนฟูเป็นเมืองค่อนข้างใหญ่ และมีสนามบิน นักท่องเที่ยวแบบซำเหมา มักจะเดินทางจากซาปา มาพักที่เดียนเบียนฟูก่อนจะหารถประจำทางเดินทางต่อเพื่อข้ามไปยังเขตแดนลาว เมืองพงสาลี  แต่ครั้งนั้นก็มีคนต่างถิ่นต่างแดนพักอยู่บางตาเหลือเกิน

วันรุ่งขึ้นเราพยายามเดินหาไทดำ...และต้องการเข้าไปเยี่ยมชมหมู่บ้าน แต่เราหาข้อมูลในพื้นที่ได้น้อยเหลือเกิน...โชคดีที่เราเจอกับสาวไทขาวที่เป็นเจ้าหน้าที่ในพิพิธภัณท์สงคราม เธอไม่พูดคำไทกับเราแต่ภาษาอังกฤษของเธอก็จัดว่าใช้การได้กว่าหลายคนที่เราพยายามพูดคุยด้วย

พื้นที่ราบขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาแห่งนี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นสมรภูมิรบที่ดุเดือดและยาวนานนับสิบปี ระหว่างกองทัพฝรั่งเศสในฐานะเจ้าอาณานิคมกับกองทัพเวียดมินห์ในนามของขบวนการกู้ชาติเวียดนาม ที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีไทดำและไทขาวให้การสนับสนุนอยู่คนละข้าง ด้วยข้อเสนอที่ยวนใจว่าหากฝ่ายใดชนะพื้นที่แห่งนี้ก็จะเป็นการปกครองของไม่ไทดำก็ไทขาว
และที่สุดเวียดนามก็มีชัยเหนือฝรั่งเศส ร่องรอยประวัติศาสตร์การสู้รบยังมีให้เราได้เห็นกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นบังเกอร์ฝรั่งเศสที่ถูกถล่มหรือเนินสู้รบระหว่างกองทัพทั้งสอง

วันสุดท้ายก่อนที่ฝรั่งเศสจะถอนทัพออกไปทั้งหมดจากเดียน เบียน ฟู เขาได้ทิ้งระเบิดเพื่อทำลายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่นี้ เหยื่อในครั้งนั้นคือชาวไทดำที่จมอยู่ใต้เถ้าถ่านของการระเบิดครั้งนั้น       
                                                .........................................

ในการเดินทางครั้งนี้ ฉันหยิบเอาหนังสือท่องเที่ยวเวียดนามไปด้วยเล่มหนึ่ง และมักจะถือติดตัวเพื่อเปิดรูปให้กับคนท้องถิ่นดูอยู่เสมอ...ครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อสื่อสารกันไม่ค่อยจะได้ ฉันจึงเปิดรูปถ่ายคนไทดำให้พวกเขาดู ว่านี่ล่ะ คือสิ่งที่ฉันอยากเจอและอยากไปหา...ไม่ใช่เจอแค่ในตลาดหรือตามถนน แต่ฉันอยากไปหาถึงบ้าน!!...

ที่สุดเราได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ในที่ทำการไปรษณีย์ให้ไปที่เมืองเซินลา เธอบอกว่าที่นั่นไทดำจะอยู่มากกว่าที่นี่... ไม่ต้องรอตัดสินใจเป็นครั้งที่สอง วันรุ่งขึ้นเราออกเดินทางด้วยรถประจำทางต่อทันที
เมืองเซินลาอยู่ระหว่างทางจากฮานอยมาเดียนเบียนฟู  ถือเป็นเมืองที่โอบล้อมด้วยภูเขา เราลงรถประจำทาง ก่อนจะต้องเดินลงเนินเพื่อเข้าไปในตัวเมือง....

จากเดียนเบียนฟูมาเซินลาใช้เวลาเกือบๆ สี่ชั่วโมง ยามสายของที่นี่ เรายังเห็นแม่ค้าไทดำนั่งขายของริมทางเดินอยู่ประปราย...ทั้งเมืองในยามนี้ มีเพียงเราสองคน ที่เป็นอาคันตุกะแปลกหน้า...
แรกทีเดียวฉันคาดว่าเราคงกลับไปเดียนเบียนฟูในวันเดียวได้  แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพักที่เซินลา โชคดีที่โรงแรมที่เราเข้าพักนั้น พูดคำไทได้บ้าง

ก่อนจะเดินทางฉันหาข้อมูลจากอินเตอร์เนท ฉันเห็นคนไทยมาเที่ยวละแวกเดียนเบียนฟูอยู่บ้าง ต่างก็เขียนความประทับใจของตัวเองที่ได้มาเจอคนไท ที่สื่อสารคำไทกันรู้เรื่อง... หนำซ้ำฉันยังดูสารคดีเรื่องไทดำในเวียดนามจากโทรทัศน์ที่เข้าไปถ่ายทำในหมู่บ้านมีการเชื้อเชิญให้ขึ้นบ้านกันอย่างมิตรไมตรี ทำให้ฉันค่อนข้างจะพกความมั่นใจมาว่า อย่างไรเสีย ฉันคงต้องได้ขึ้นบ้านไทดำที่นี่เป็นแน่...

แต่...เมื่อมาถึง หลังจากผิดหวังที่เดียนเบียนฟูไปครั้งหนึ่งแล้ว ที่นี่ พี่สาวที่ทำงานโรงแรมที่ฉันพัก พูดไทได้ แม้จะไม่มาก ฉันพยายามจะสื่อสารว่า อยากไปเที่ยวในหมู่บ้าน... พร้อมชี้ภาพในหนังสือท่องเที่ยวประกอบว่า ต้องการไปแบบนี้... เธอก็รับคำอย่างดี จัดการเรียกรถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง พร้อมกับอธิบายทุกสิ่งอย่างเป็นภาษาเวียดนามให้เราเสร็จสรรพ...

เอาล่ะ เราคงได้ไปเยี่ยมบ้านไทดำที่อยู่ดั้งเดิม ก็คราวนี้ล่ะ.... แต่แล้ว มอเตอร์ไซด์ก็พาเรามาจอดสนิทที่อาคารแปลกๆ ที่ใดสักแห่ง ที่เต็มไปด้วยชายฉกรรจ์ โชคดีที่เขาพูดภาษาไทได้...ฉันพยายามสื่อสารว่า ต้องการมาดูหมู่บ้าน อยากไปเที่ยวบ้านไทดำ... ชายคนหนึ่งท่าทางจะเป็นผู้นำกลุ่ม สั่งมอเตอร์ไซด์ให้พาฉันไปตรงเพิงขายของ... ขณะที่ยกกล้องขึ้นจะถ่ายภาพ  ฉันก็โดนตะเพิดจากชายคนนั้น เขาไม่ยินยอมให้ถ่ายสถานที่แห่งนั้น

เมื่อถึงเพิงขายของ ความอลหม่านครั้งที่สองก็เกิดขึ้น...คราวนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่ไม่รู้มาจากที่ไหนกันบ้าง เข้ามาถามจุดประสงค์การมาของฉัน ว่า ต้องการอะไร มาทำไม ด้วยภาษาไทยของฉันที่พยายามจะใช้คำง่ายๆ ในการสื่อสาร และคิดเอาเองว่าพวกเขาน่าจะคุ้นกับคำไทยอีสานหรือไทยเหนือ มากกว่าไทยภาคกลาง  แต่แล้ว...ความพยายามก็สูญเปล่า... เราแทบจะสื่อสารกันไม่ได้เลย...

ฉันหยิบหนังสือท่องเที่ยวเล่มนั้น ออกมาอีกครั้งหนึ่ง สมุดบันทึกของฉันถูกกระชากไปโดยชายคนเดิม เขาไปพลิกดู อยู่นานทั้งที่ก็คงไม่รู้ความ...และภาพของหญิงชาวไทดำในหนังสือท่องเที่ยว กลายเป็นภาพที่พวกเขาเวียนกันดู อยู่นาน ฉันพยายามจะบอกจุดประสงค์ของการมาว่าต้องการมาหาไทดำต้องการมาเยี่ยมบ้าน...ชายคนเดิมพูดขึ้นมาว่า ก็นี่ไง! ไทดำ อยู่นี่ไง อยากดู ก็ดูนี่ไง! ....
แล้วก็มีหญิงแม่ลูกอ่อนคนหนึ่ง เธอน่าจะจับใจความสิ่งที่ฉันต้องการได้ เธอจึงบอกให้ฉันไปบ้านของนาง แต่...มันก็ถูกระงับโดยชายคนเดิม...

เขาสั่งให้มอเตอร์ไซด์รับจ้างพาฉันไปยังบ้านของผู้เฒ่าท่านหนึ่งในหมู่บ้าน ด้วยทุกคนต่างลงความเห็นว่า ผู้เฒ่าคนนี้ล่ะ ที่สามารถคุยภาษาไทยกับฉันได้มากที่สุด...

ชายชราต้อนรับคนแปลกหน้าด้วยความงุนงง ฉันขึ้นไปบนเรือนไม้เก่าของลุงผู้นี้ ยังไม่ทันที่ฉันจะเอื้อนเอ่ยสิ่งใด ลุงก็เล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังว่าเขาเกิดในยุคสงคราม ลุงเป็นคนไทถูกส่งให้ไปรบที่เชียงคำในนามทหารเวียด ลุงย้ำอยู่หลายครั้งว่าตนเองเป็นคนไท เราเงียบกันไปครู่หนึ่ง ลุงถามฉันว่า อยากมาหาใคร ก่อนจะขอหนังสือท่องเที่ยวของฉันไปดู พร้อมกับถามว่าผู้หญิงในภาพนี้เป็นญาติของฉันหรือถึงอยากมาตามหา.......แล้วลุงยังถามอีกว่า เธอเป็นใครสำคัญกับฉันไหม....

ฉันงุนงงกับคำถามของลุงไปพักใหญ่ ก่อนตอบว่าเธอในภาพนี้ไม่เกี่ยวข้องกับฉันเลย..ฉันไม่ได้ต้องการมาหาใครโดยเฉพาะ ฉันเพียงแค่อยากมาเห็นความเป็นอยู่ของคนไทดำก็เท่านั้น...

เราต่างงุนงงสงสัยในความแปลกหน้าของกันและกัน...เราต่างระแวงไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน...เราต่างสงสัยในมิตรภาพที่หยิบยื่นให้กัน...นาทีนั้น ฉันไม่รู้จะกล่าวคำใด...

ฉันเกือบลืมไปแล้วว่า เวียดนาม ยังเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ทุกครั้งที่เราเข้าพักที่ไหน หนังสือเดินทางของเราจะถูกนำไปรายงานให้กับเจ้าหน้าที่ของเมืองนั้นๆ ทราบ และแน่นอนยิ่งในชนบทที่ห่างไกลนักท่องเที่ยวอย่างเซินลา พวกเขาก็ยังคุ้นชินกับการรายงานให้ทางการทราบถึงอาคันตุกะแปลกหน้าเช่นฉัน  เพราะมีไม่มากนักหรอกที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางไปไหนมาไหนได้เองในเวียดนาม ส่วนใหญ่มักจะต้องใช้บริการทัวร์ที่พวกเขามีไว้บริการ และหมู่บ้านที่เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวเท่านั้นที่สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้...แน่นอน ต้องเสียค่าผ่านประตูให้กับทางการด้วย

วันรุ่งขึ้นเราต้องกลับมายังเดียนเบียนฟู ระหว่างนั่งรอรถประจำทาง หญิงไทดำคนหนึ่งก็มานั่งอยู่ด้วย เราเริ่มบทสนทนาง่ายๆ ต่อกัน แน่นอนหนีไม่พ้นเรื่องการมาของฉัน... ฉันหยิบผ้าเปียวของไทดำเขาย้อยขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนถามเธอว่า นี่ใช่ของไทดำไหม...เธอหยิบไปดูแล้วบอก...ไม่ใช่...เธอถามว่าของฉันหรือ...ก่อนจะเริ่มหยิบผ้ามาพันศีรษะให้กับฉัน...

เธอให้ส้มฉันหนึ่งลูกก่อนจะรีบวิ่งไปขึ้นรถประจำทางอีกสายหนึ่ง...อย่างน้อยก่อนจากมา ฉันยังได้มิตรภาพน้อยๆ จากหญิงไทดำผู้นั้น...
แม้ความพยายามครั้งนี้ของฉันจะยังไม่บรรลุเป้าหมาย แต่ฉันก็ยังไม่ล้มความตั้งใจที่จะกลับไปอีกครั้งเพื่อขึ้นเรือนไทดำที่เมืองแถน!!



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น