6/14/2557

เดียงพลาโต



อันเนื่องมาจากการเดินทางไปทำงานศิลปะแสดงสดในหมู่บ้านครินจิง จึงได้ทริปแถมจากเจ้าบ้านด้วยการพาไปเที่ยวหนึ่งวัน บุโรพุทโธ พราหมณ์ปฌัมและชายหาดมหาสมุทรแปซิฟิค สองที่นั้นขอยกยอดไปก่อนนะคะ ครั้งนี้ขอเอาภาพ หาดแปซิฟิคมาให้ยล 
แรกที่เห็นก็ชอบล่ะค่ะ มันใหญ่โตโอ่โถงกว่าหาดบ้านเรามาก แถมมีรถม้าวิ่งเลียบหาดแบบนี้อีก คนที่นั่นก็ไปเที่ยวพักผ่อนกันเยอะในยามเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่คณะเราไปถึงพอดี
หลังจากวันนั้น ศิลปินจากที่ต่างๆ ก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน แต่สำหรับฉันยังมีทริปต่อไปที่บันดุง ระหว่างพักจึงกลับเข้าเมืองยอร์คจาการ์ตา เดินโต๋เต๋ในโซนแบคแพค พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นทริปวันเดียว เที่ยวเดียงพลาโต อืม...สนนราคาพอจ่ายได้อย่างคนเบี้ยน้อย ไปกันสามหน่อถือว่าคุ้มค่า จึงตกลงราคาว่าจ้างกันไปในวันรุ่งขึ้น
และอย่างที่บอกไว้แต่แรก เราไปกันเดือนเมษายน ซึ่งคาดว่ามันต้องร้อนในวันนั้นดิฉันก็ใส่เสื้อผ้าธรรมดาเพราะคิดว่าเดี๋ยวเดินมันต้องร้อนแน่ๆ ยิ่งเป็นคนขี้ร้อนอยู่ด้วย เช้าวันนั้น คนขับรถพร้อมไกด์หนึ่งคนมารับหน้าที่พักซึ่งก็อยู่ตรงข้ามกับเอเจนขายทัวร์นั่นล่ะ ก็ไม่หือไม่อือ กับเครื่องแต่งกายของพวกเรา พากันนั่งรถที่วิ่งด้วยความเร็วสูง....แบบว่ามันเร็วมากจนแทบจะเหยียบเบรคแทนคนขับไปแล้ว อิอิ...
รถไต่เลาะขึ้นไปตามเขาถนนไม่น่ากลัว ภาพเบื้องหน้าสวยงาม...ถามไถ่ไกด์ที่มาด้วยเขาบอกว่าทัวร์นี้ขายไม่ค่อยออก เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่อยากมาที่นี่แค่วันเดียว เมื่อไปเห็นก็จริงดังว่า ไม่ควรมาแค่วันเดียว....
 ฉันเองเคยรับรู้เรื่องเดียง พลาโตมาหลายปีแล้ว...แต่ไม่ใคร่สนใจที่จะต้องไป เมื่อมีโอกาสไปเยือนยอกจาการ์ต้า ใจก็จดจ่อแต่บุโรพุทโธและพราหม์ปณัม สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของทั้งพุทธและฮินดู....ทั้งสองที่นั้น คนไทยหลายคนมักไปเยือน...จำได้ว่า ระยะทางจากในเมืองยอร์คจาการ์ต้า เพื่อไปถึงเดียง พลาโต นั้นต้องผ่านเมืองใหญ่อย่าง wonosobo เราแวะกินข้าวกันที่นั่น...แม้ว่าไกด์จะพยายามให้เราไปถึงที่หมายให้ได้ก่อนก็ตาม...แต่...ด้วยความที่เป็นพี่ไทยของพวกเรา ทำให้ไกด์ชาวชวา ต้องยอมแพ้ แวะให้เรารับประทานอาหารออมเรี่ยวออมแรงกันก่อนจะไปเผชิญความหนาวแห่งเดือนเมษายน....
ใช่...ที่เขียนมานั้นไม่ผิดค่ะ...หนาวในเดือนเมษายนตรงเส้นศูนย์สูตรของโลก....
เส้นทางระหว่างโวโนโซโบไปยังเดียงพลาโต นั้นต้องข้ามภูเขาลูกใหญ่ๆ จะกี่ลูกนั้น สุดจะคาดเดา..ทางที่ลัดเลี้ยวไปตามไหล่เขา ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างฉันตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก..จนลืมยกกล้องขึ้นกดชัตเตอร์ หลายครั้งที่ฉันมักเป็นเช่นนี้ มองเสียจนลืมบันทึก...ได้มาเพียงสองรูป....
พวกเขาทำไร่ ทำนากันได้อย่างไร...อย่างบ้านเราผู้คนที่อยู่บนเทือกเขาทำนา ทำไร่กับภูเขา...ก็ว่ามันสุดลูกหูลูกตาแล้ว แต่..ที่นี่... เขาเดินไปกลับกันได้อย่างไร... ไกด์ตอบกลับมาให้หายข้องใจว่า...ที่นี่ไม่ได้ไปไร่กันทุกวัน สัปดาห์หนึ่งไปครั้งหนึ่ง แต่ละครั้งต้องไปนอนที่นั่น ก่อนจะกลับมาในวันรุ่งขึ้น เพราะภูเขาที่นี่ อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 4,000 ฟุต...
หมอกระเรี่ยไปกับพาหนะของเรา ตลอดเส้นทาง....ที่นี่เอง ที่ทำให้ฉันนึกถึงคำว่า Exotic ใช่ ฉันรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ อินโดนีเซีย เมืองประหลาดที่มีเสน่ห์เกินคาดเดา....
เมื่อถึงเดียง พลาโต สถานที่แรกแห่งการท่องเที่ยวในวันนั้น ทำเอาฉันตะลึงไปกับความงาม....หมอกโรยตัวโอบปราสาททั้งห้าหลัง เบื้องหน้าเราไว้....พร้อมม้วนตัวของมัน พาเราเคลื่อนสู่ปราสาทประธาน...
ไกด์เริ่มต้นงานของเขาที่นี่....เขาเริ่มต้นเล่าถึงประวัติของปราสาททั้งห้าหลัง ที่เชื่อมร้อยเข้ากับ
มหาภารตะ...กาพย์ที่ยิ่งใหญ่ของคนชวา....เขาชี้ไปที่วิหารอรชุน พร้อมบอกกับบรรดาชายหนุ่มว่า ที่นี่ หากใครต้องการมีผู้หญิงได้หลายคนให้ขอพรที่วิหารอรชุนแห่งนี้...ฉันผู้ซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวจึงเกิดความรู้สึกไม่เท่าเทียมจึงเอ่ยถามไปว่า แล้วไหน วิหารสำหรับผู้หญิงที่จะมีผู้ชายได้หลายคนเล่า??....
ไกด์ทำท่างง เล็กน้อย ก่อนบอกให้ฉันไปขอพรที่วิหารหลังที่สาม ซึ่งเป็นวิหารของ Pun tadewa (จันทิปุนตเทพ) พี่ชายคนโต ผู้ซึ่งปราศจากความโกรธ มีเลือดเป็นสีขาว และเป็นผู้ที่ทำให้ปราศจากสงคราม... ไกด์บอกกับฉันว่า ไปขอพรที่นั่น เพราะผู้ชายคนนั้นใจดี!!
ฉันเลยชักภาพไว้เป็นที่ระลึกและโปรดสังเกตุอะไรที่มีอยู่ฉันโปะไว้ที่ตัวหมด แต่มันก็ยังเย็นมากค่ะ....
หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มต้นถามไกด์.... ที่นี่สร้างเมื่อไร... ไม่ทราบ...ไม่มีคำตอบ รู้แต่ว่า..ที่นี่เคยเป็นที่อยู่ของคนมานานมากแล้วและเคยมีน้ำท่วมขังบริเวณปราสาท ก่อนที่น้ำจะเปลี่ยนเส้นทางไป จึงทำให้ผู้คนในสมัยต่อมาพบซากของปราสาทเหล่านี้มากมาย... แต่ที่เหลือคงไว้ได้นั้น มีไม่ถึง 10 หลัง...ส่วนหนึ่งผู้คนที่อพยพมาอยู่ใหม่ ช่วงดัทช์เป็นเจ้าอาณานิคม ก็นำหินสกัดที่สร้างปราสาทเหล่านั้น เป็นสร้างบ้านของตัวเอง....มันก็คล้ายอีกหลายที่ ที่เรามักจะได้ยินข่าว อิฐหินโบราณถูกนำไปสร้างบ้าน หรือไม่ก็สร้างบ้านทับแหล่งโบราณสถานแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็มี....
ไกด์ ชี้ไปที่บึงใหญ่ ท้าย ปราสาท ห้าหลังที่อยู่ติดกัน ว่า นั่นล่ะ น้ำไปอยู่ตรงนั้น ลึกแค่ไหนไม่มีใครรู้ แต่ ว่ากันว่ามีปลาใหญ่มากๆ อยู่ที่นั่น วันดีคืนดี ถ้าเป็ดของชาวบ้านคนไหน หนีเจ้าของไปว่ายน้ำเล่น...ก็จะหายไปทันที...เพราะมันจะกลายสภาพเป็นอาหารของสัตว์น้ำใต้บึงที่ไม่เคยมีใครได้เห็น....
แม้ว่า สิ่งที่ไกด์เล่าให้นักท่องเที่ยวอย่างฉันฟังจะผิดเพี้ยนไปจากประวัติศาสตร์อย่างสิ้นเชิง แต่มันก็ทำให้ทริปท่องเที่ยวนี้...สนุกสนานเต็มไปด้วยชีวิตชีวา..และข้อสำคัญ ฉันรู้สึกว่า มันจับต้องได้...เขาสามารถทำให้โบราณสถานที่มีแต่อิฐ หิน....และความขรึมขลัง มีชีวิตชีวา โลดเต้นไปกับยุคปัจจุบันแม้ว่ามันจะไม่มีแก่นสารเลยก็ตาม...
โฉมหน้าพี่ไกด์ที่ทำให้ทริปนี้สนุกมีชีวิตชีวา เรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ที่ผสมผสานกับความเชื่อของชาวบ้าน นิทานพื้นบ้านมันทำให้ก้อนอิฐเหล่านั้นมีชีวิตขึ้นมาทันที...
เดียง พลาโต เท่าที่ฉันเคยอ่านพบ.... ที่นี่เป็นปราสาทยุคแรกๆ ของฮินดูที่แพร่อิทธิพลมาถึงเกาะชวา และถือเป็นเทวสถานสถิตแห่งเทพเจ้าจำนวนมาก ที่ถูกสร้างขึ้นของลัทธิไศวนิกาย และมีอายุเก่าแก่ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 7 - 12
มีการพบจารึกภาษาสันสกฤต และมีผู้สันนิษฐานว่า เทวาลัยเหล่านี้อาจสร้างขึ้นโดยราชวงศ์มะตะรัมของพระเจ้าสัญชัย ซึ่งแผ่อิทธิพลครอบคลุมตลอดอาณาเขตชวาภาคกลาง ครั้งหนึ่งเดียงจึงเป็นอาณาจักรอันเฟื่องฟูของศาสนสถานและนักบวชฮินดู
ครั้นเมื่อศาสนาอิสลามรุ่งเรืองขึ้นแทนที่ เดียงก็ถูกเมินเฉย...ปล่อยให้เรื่องราวเลือนหายไปกับกาลเวลา..กระทั่งมาถึงปี ค.ศ.1830 ผู้คนเริ่มกลับมาตั้งถิ่นฐานอีกครั้ง และไม่มีใครรู้รายละเอียดเกี่ยวกับศาสนสถานแห่งนี้เลย และแน่นอน พวกเขาก็นำอิฐหินที่ดูประหนึ่งเป็นซากปรักหักพังเหล่านี้ มาใช้ประโยชน์ให้ตัวเองด้วยการสร้างบ้าน...
...เราอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่ไม่ได้นาน...ไกด์ก็สะกิดให้ไปต่อ...คราวนี้เราเดินไปยังปราสาทอีกหลังที่ยังหลงเหลือ Gatotkaga(จันทิคโตตกัตชะ) เทพผู้เหินไปในเวหาผู้ซึ่งเป็นบุตรของ เทพเจ้าภีมะ(จันทิภีมะ)...ก่อนที่เราจะได้เยือนวิหารแห่งเทพภีมะ... เทพผู้ทรงพลัง..ไกด์หันมาบอกกับเราว่า....เชื่อไม่เชื่อ แล้วแต่คุณนะ... ทีนี่ หากเดินวนรอบวิหารแล้วขอพรไปด้วย ก็จะได้ดังสิ่งหวัง.... ก่อนหน้าเรา มีชายหนุ่มสองคนชาวชวาที่ ดูจากการแต่งตัวแล้ว ไม่น่าจะเชื่อในสิ่งเหล่านี้...ยังไปเดินวนรอบวิหารเพื่อขอพร มีการโพสต์ท่าถ่ายรูปหลังขอพรเสร็จ ลีลาที่ไม่ต่างจากเด็กแนวบ้านเรา....
ไม่แน่ใจว่าควรโพสต์ยาวแค่ไหน มือใหม่อย่างฉันขอที่ละนิดแล้วกันนะคะ ตอนต่อไปกำลังตามมาติดๆ ค่ะ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น