1/13/2555

นักท่อง...เที่ยวไปในแดน...เทพเจ้า....

น่าแปลกที่ระยะหลังมานี่ ฉันมักจะสถาปนาตัวเองเป็นนักท่องเที่ยว เที่ยวไปตามที่ต่างๆ อย่างนักท่องเที่ยวอื่นๆ เขาทำกัน... ซื้อทัวร์ ไปชมในสิ่งที่คนอื่นๆ ได้ชม...ใช้เวลาในแต่ละสถานที่อย่างจำกัด ด้วยทุกอย่างต้องเป็นไปตาม ไกด์สั่ง!!....

หลังสุดนี่ก็เช่นกัน...นั่งมองผู้คนในเมืองยอกจาการ์ต้าไปมาอยู่สองสามวัน...เดินดูรอบๆ เมือง พักผ่อนพอหายเหนื่อย ก่อนจะต้องเดินทางต่อไปอีกเมืองหนึ่ง...ก็มีเหตุให้ได้ซื้อทัวร์....เพื่อไปเยือนดินแดนแห่งเทพเจ้า....เดียง พลาโต Dieng Plateau

นัยว่าทัวร์นี้ขายไม่ค่อยออก...หนึ่งเพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่อยากไปหลายที่ในหนึ่งวัน สองเพราะคนที่อยากจะไปเดียงพลาโต ก็ไม่ค่อยมีใครอยากไปภายในเวลาจำกัด...10 ชั่วโมงไม่ขาดไม่เกิน..
แต่ด้วยเวลาและสนนราคาแล้ว พอจ่ายได้ จึงตัดสินซื้อทัวร์ซึ่งประหนึ่งเราได้คนขับรถหนึ่งคน พร้อมผู้นำทางอีกหนึ่งไปกับคณะคนไทย 3 ชีวิตที่บัดนี้เปลี่ยนสถานะกลายมาเป็นนักท่องเที่ยว....

ฉันเองเคยรับรู้เรื่องเดียง พลาโตมาหลายปีแล้ว...แต่ไม่ใคร่สนใจที่จะต้องไป เมื่อมีโอกาสไปเยือนยอกจาการ์ต้า ใจก็จดจ่อแต่บุโรพุทโธและพราหม์ปณัม สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของทั้งพุทธและฮินดู....ทั้งสองที่นั้น คนไทยหลายคนมักไปเยือน...

จำได้ว่า ระยะทางจากในเมืองยอกจาการ์ต้า เพื่อไปถึงเดียง พลาโต นั้นต้องผ่านเมืองใหญ่อย่าง wonosobo เราแวะกินข้าวกันที่นั่น...แม้ว่าไกด์จะพยายามให้เราไปถึงที่หมายให้ได้ก่อนก็ตาม...แต่...ด้วยความที่เป็นพี่ไทยของพวกเรา ทำให้ไกด์ชาวชวา ต้องยอมแพ้ แวะให้เรารับประทานอาหารออมเรี่ยวออมแรงกันก่อนจะไปเผชิญความหนาวแห่งเดือนเมษายน....

ใช่...ที่เขียนมานั้นไม่ผิดค่ะ...หนาวในเดือนเมษายนตรงเส้นศูนย์สูตรของโลก....

เส้นทางระหว่างโวโนโซโบไปยังเดียงพลาโต นั้นต้องข้ามภูเขาลูกใหญ่ๆ จะกี่ลูกนั้น สุดจะคาดเดา..ทางที่ลัดเลี้ยวไปตามไหล่เขา ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างฉันตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก...พวกเขาทำไร่ ทำนากันได้อย่างไร...

อย่างบ้านเราผู้คนที่อยู่บนเทือกเขาทำนา ทำไร่กับภูเขา...ก็ว่ามันสุดลูกหูลูกตาแล้ว แต่..ที่นี่... เขาเดินไปกลับกันได้อย่างไร... ไกด์ตอบกลับมาให้หายข้องใจว่า...ที่นี่ไม่ได้ไปไร่กันทุกวัน สัปดาห์หนึ่งไปครั้งหนึ่ง แต่ละครั้งต้องไปนอนที่นั่น ก่อนจะกลับมาในวันรุ่งขึ้น เพราะภูเขาที่นี่ อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 4,000 ฟุต...

หมอกระเรี่ยไปกับพาหนะของเรา ตลอดเส้นทาง....ที่นี่เอง ที่ทำให้ฉันนึกถึงคำว่า Exotic ใช่ ฉันรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ อินโดนีเซีย เมืองประหลาดที่มีเสน่ห์เกินคาดเดา....

เมื่อถึงเดียง พลาโต สถานที่แรกแห่งการท่องเที่ยวในวันนั้น ทำเอาฉันตะลึงไปกับความงาม....หมอกโรยตัวโอบปราสาททั้งห้าหลัง เบื้องหน้าเราไว้....พร้อมม้วนตัวของมัน พาเราเคลื่อนสู่ปราสาทประธาน...

ไกด์เริ่มต้นงานของเขาที่นี่....เขาเริ่มต้นเล่าถึงประวัติของปราสาททั้งห้าหลัง ที่เชื่อมร้อยเข้ากับ
มหาภารตะ...กาพย์ที่ยิ่งใหญ่ของคนชวา....

เขาชี้ไปที่วิหารอรชุน พร้อมบอกกับบรรดาชายหนุ่มว่า ที่นี่ หากใครต้องการมีผู้หญิงได้หลายคนให้ขอพรที่วิหารอรชุนแห่งนี้...ฉันผู้ซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวจึงเกิดความรู้สึกไม่เท่าเทียมจึงเอ่ยถามไปว่า แล้วไหน วิหารสำหรับผู้หญิงที่จะมีผู้ชายได้หลายคนเล่า??....

ไกด์ทำท่างง เล็กน้อย ก่อนบอกให้ฉันไปขอพรที่วิหารหลังที่สาม ซึ่งเป็นวิหารของ Pun tadewa (จันทิปุนตเทพ) พี่ชายคนโต ผู้ซึ่งปราศจากความโกรธ มีเลือดเป็นสีขาว และเป็นผู้ที่ทำให้ปราศจากสงคราม... ไกด์บอกกับฉันว่า ไปขอพรที่นั่น เพราะผู้ชายคนนั้นใจดี!!

หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มต้นถามไกด์.... ที่นี่สร้างเมื่อไร... ไม่ทราบ...ไม่มีคำตอบ รู้แต่ว่า..ที่นี่เคยเป็นที่อยู่ของคนมานานมากแล้วและเคยมีน้ำท่วมขังบริเวณปราสาท ก่อนที่น้ำจะเปลี่ยนเส้นทางไป จึงทำให้ผู้คนในสมัยต่อมาพบซากของปราสาทเหล่านี้มากมาย... แต่ที่เหลือคงไว้ได้นั้น มีไม่ถึง 10 หลัง...ส่วนหนึ่งผู้คนที่อพยพมาอยู่ใหม่ ช่วงดัทช์เป็นเจ้าอาณานิคม ก็นำหินสกัดที่สร้างปราสาทเหล่านั้น เป็นสร้างบ้านของตัวเอง....

ไกด์ ชี้ไปที่บึงใหญ่ ท้าย บริเวณปราสาท ห้าหลังที่อยู่ติดกัน ว่า นั่นล่ะ น้ำไปอยู่ตรงนั้น ลึกแค่ไหนไม่มีใครรู้ แต่ ว่ากันว่ามีปลาใหญ่มากๆ อยู่ที่นั่น วันดีคืนดี ถ้าเป็ดของชาวบ้านคนไหน หนีเจ้าของไปว่ายน้ำเล่น...ก็จะหายไปทันที...เพราะมันจะกลายสภาพเป็นอาหารของสัตว์น้ำใต้บึงที่ไม่เคยมีใครได้เห็น....

แม้ว่า สิ่งที่ไกด์เล่าให้นักท่องเที่ยวอย่างฉันฟังจะผิดเพี้ยนไปจากประวัติศาสตร์อย่างสิ้นเชิง แต่มันก็ทำให้ทริปท่องเที่ยวนี้...สนุกสนานเต็มไปด้วยชีวิตชีวา..และข้อสำคัญ ฉันรู้สึกว่า มันจับต้องได้...
เขาสามารถทำให้โบราณสถานที่มีแต่อิฐ หิน....และความขรึมขลัง มีชีวิตชีวา โลดเต้นไปกับยุคปัจจุบันแม้ว่ามันจะไม่มีแก่นสารเลยก็ตาม...

เดียง พลาโต เท่าที่ฉันเคยอ่านพบ.... ที่นี่เป็นปราสาทยุคแรกๆ ของฮินดูที่แพร่อิทธิพลมาถึงเกาะชวา และถือเป็นเทวสถานสถิตแห่งเทพเจ้าจำนวนมาก ที่ถูกสร้างขึ้นของลัทธิไศวนิกาย และมีอายุเก่าแก่ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 7 - 12

มีการพบจารึกภาษาสันสกฤต และมีผู้สันนิษฐานว่า เทวาลัยเหล่านี้อาจสร้างขึ้นโดยราชวงศ์มะตะรัมของพระเจ้าสัญชัย ซึ่งแผ่อิทธิพลครอบคลุมตลอดอาณาเขตชวาภาคกลาง ครั้งหนึ่งเดียงจึงเป็นอาณาจักรอันเฟื่องฟูของศาสนสถานและนักบวชฮินดู

ครั้นเมื่อศาสนาอิสลามรุ่งเรืองขึ้นแทนที่ เดียงก็ถูกเมินเฉย...ปล่อยให้เรื่องราวเลือนหายไปกับกาลเวลา..กระทั่งมาถึงปี ค.ศ.1830 ผู้คนเริ่มกลับมาตั้งถิ่นฐานอีกครั้ง และไม่มีใครรู้รายละเอียดเกี่ยวกับศาสนสถานแห่งนี้เลย และแน่นอน พวกเขาก็นำอิฐหินที่ดูประหนึ่งเป็นซากปรักหักพังเหล่านี้ มาใช้ประโยชน์ให้ตัวเองด้วยการสร้างบ้าน...

...เราอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่ไม่ได้นาน...ไกด์ก็สะกิดให้ไปต่อ...คราวนี้เราเดินไปยังปราสาทอีกหลังที่ยังหลงเหลือ Gatotkaga(จันทิคโตตกัตชะ) เทพผู้เหินไปในเวหาผู้ซึ่งเป็นบุตรของ เทพเจ้าภีมะ(จันทิภีมะ)...ก่อนที่เราจะได้เยือนวิหารแห่งเทพภีมะ... เทพผู้ทรงพลัง..ไกด์หันมาบอกกับเราว่า....เชื่อไม่เชื่อ แล้วแต่คุณนะ... ทีนี่ หากเดินวนรอบวิหารแล้วขอพรไปด้วย ก็จะได้ดังสิ่งหวัง.... ก่อนหน้าเรา มีชายหนุ่มสองคนชาวชวาที่ ดูจากการแต่งตัวแล้ว ไม่น่าจะเชื่อในสิ่งเหล่านี้...ยังไปเดินวนรอบวิหารเพื่อขอพร มีการโพสต์ท่าถ่ายรูปหลังขอพรเสร็จ ลีลาที่ไม่ต่างจากเด็กแนวบ้านเรา....

ในวันเดียวกันนั้น....เราก็เดินทางมาอีกสถานที่หนึ่งในหุบของเทพเจ้า...sikendang กลิ่นกำมะถันลอยมาเตะจมูกอย่างจัง.... ที่นี่ เป็นหนึ่งในปากปล่องภูเขาไฟที่เคยระเบิดและยังไม่ตาย.... ไกด์ยังคงทำหน้าที่ของเขาต่อไป ด้วยการเล่าเรื่องโศกนาฎกรรมให้กับพวกเราผู้ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวฟังว่า... เมื่อราวปี ค.ศ.2000 มีหญิงสาวผู้หนึ่งพลาดหวังจากความรัก ด้วยว่าชายหนุ่มคนรักของเธอหันไปแต่งงานกับคนอื่น... เธอจึงมาสังเวยรักของตัวเองที่นี่...ด้วยการกระโดดลงไปในปากปล่องภูเขาไฟที่เต็มไปด้วยโคลนเดือดที่มีอุณหภูมิกว่า 100 องศา

ไกด์คงคิดว่า มันยังไม่เศร้าพอ เขาจึงเล่าให้ฉันฟังต่อว่า ร่างของเธอนั้นไม่จม และไม่มีใครช่วยเหลือได้ จะทำก็แต่เพียงใช้ไม้เขี่ยร่างของเธอขึ้นมาเท่านั้น!!!

หลังจากฟังโศกนาฏกรรมที่บ่อโคลนเดือดจบ เราก็ต้องไปเยือนอีกสถานที่หนึ่ง Telaga warna Dieng หรือ Rainbow lake ทะเลสาบสายรุ้ง....

โชคไม่ดีหรืออย่างไร ไม่อาจตัดสิน ในวันที่เราไปเยือนทะเลสาบแห่งนี้ ถูกหมอกปกคลุมจนไม่อาจเห็นสีของรุ้งในทะเลสาบแห่งนั้นได้....คงเปรียบคล้ายความรักของชายหนุ่มหญิงสาวที่เป็นตำนานของทะเลสาบแห่งนี้ ที่ฉันเลือกที่จะเชื่อ...มากกว่าตำนานเรื่องอื่นๆ ที่เอาเข้าจริง มีมากมายหลายตำนานเหลือเกิน...

.....ด้วยว่ากาลครั้งหนึ่ง ณ ทะเลสาบแห่งนี้มีหญิงสาวจากแดนไกลพี่น้อง 7 คนจะมาลงเล่นน้ำอย่างสม่ำเสมอ และที่นี่ คล้ายเป็นดินแดนต้องห้ามที่คนเข้าไปไม่ถึง...แต่แล้ววันหนึ่งก็มีชายหนุ่มที่หาญกล้า อยากพิสูจน์ว่า ทีนี่มีสิ่งใดกันแน่...เขาจึงฝ่าฝืนกฏของสังคม...แอบย่องเข้าไป และพบสาวงามทั้ง 7 ลงเล่นน้ำอยู่....
เขาตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้หยิบเสื้อผ้าของหญิงสาวที่จะเป็นเนื้อคู่ของตนขึ้นมา... จากนั้น เขาก็หยิบเสื้อผ้าของหนึ่งในหญิงสาวทั้งเจ็ดไว้ได้... และด้วยกลิ่น ที่ผิดไปจากเดิมจึงทำให้หญิงสาวทั้ง 7 ล่วงรู้ว่ามีคนแปลกหน้าบุกรุกเข้าในสระแห่งนี้ จึงรีบแต่งตัวและหนีหายไป คงเหลือแต่...หญิงผู้ซึ่งชายหนุ่มคนนั้นอธิษฐานขอเป็นเนื้อคู่...

ทั้งคู่ตกหลุมรักกันและกันทันที ที่ได้สบตา.... จากนั้นก็ไปครองคู่กัน เช่นชายหนุ่มหญิงสาวทั่วไป...โดยหญิงสาวมีข้อแม้ ต่อสามีของตัวเองว่า ทุกครั้งที่นางลงมือทำครัว โปรดอย่าเข้ามาและอย่าเปิดฝาหม้อข้าวหม้อแกงใดๆ ด้วยตนเอง....

ทั้งสองครองรักกันมาได้อย่างราบรื่นเป็นเวลา กว่าสองปี แล้วอยู่มาวันหนึ่งด้วยความอยากรู้อยากเห็นของสามี จึงแอบเปิดฝาหม้อในครัว....เมื่อฟังถึงตอนนี้ ฉันเองก็ลุ้นว่า ต้องเห็นอะไร หรือไม่ก็หักมุมแน่ๆ... เปล่าเลย... สามีไม่เห็นอะไร...ยังคงเห็นข้าวเต็มหม้อ อาหารเต็มโต๊ะเหมือนเช่นตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่.... เขาเริ่มสังเกตเห็นสีหน้าของภรรยาตัวเองที่เศร้าหมองลงไปทุกวัน

กระทั่งเวลาผ่านไปหลายวัน ข้าวและอาหารเริ่มพร่องลงไปจากสำรับ กระทั่งมาถึงวันสุดท้าย ข้างใต้หม้อข้าวนั้นคือ เสื้อผ้าชุดแรกของฝ่ายหญิงนั่นเอง.... นางต้องไป.... ต้องกลับไปยังที่ ที่นางจากมา.....
ผู้สามีรู้ตัวว่าทำผิดไปถนัดใจ ครั้นจะแก้ไขความผิดพลาดครั้งนี้ ก็สายเกินไปสำหรับทุกอย่างแล้ว... ด้วยว่า เขา ไม่รักษาสัจจะที่เคยให้ไว้กับภรรยาตัวเอง.....

ทั้งคู่จากกันด้วยความรัก...เศร้าโศก... ชายหนุ่มพยายามทุกวิถีทางที่จะได้นางอันเป็นที่รักของตัวเองคืนมา..เฝ้าวิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย แต่ไม่เคยสัมฤทธิ์ผล...กระทั่งวันหนึ่ง เขาได้รับคำตอบจากฟ้า ว่า ในคราที่ทะเลสาบที่เขาและเธอพบกันครั้งแรก เป็นสีรุ้ง...เวลานั้น เขาทั้งคู่จะได้พบกัน... หากหมดสีแห่งรุ้ง...พวกเขาก็ต้องพลัดพรากจากกันอีก จนกว่า รุ้งนั้นจะกลับมา...

เรื่องที่ไกด์เล่านี้ ฉันเคยฟังมาจากเพื่อนต่างชาติคนหนึ่งก่อนหน้านี้มาแล้ว เลยทำให้ฉันคิดไปถึงตำนานความรักสองเรื่อง สองถิ่น เรื่องหนึ่งฉันคิดให้ละม้ายพระสุธน มโนราห์ ครั้งที่พรานไปจับนางมโนราห์ มาถวายพระสุธน อีกเรื่องหนึ่งจะนึกถึงเรื่อง เจ้าหญิงทอหูกกับชายเลี้ยงวัว เทศกาลทานาบาตะของญี่ปุ่น...ความรักที่ต้องมาพร้อมกับการพลัดพรากและรอคอย....

เราจบทริปท่องเที่ยววันนั้น ด้วยความเร็วของรถที่ต้องเร่งทำเวลาให้กลับมายังยอร์กจาการ์ต้าภายในเวลาที่กำหนด และนี่คือการท่องเที่ยวแบบนักท่องเที่ยวของฉัน...ที่ไม่อาจตัดสินได้ว่า ดีหรือไม่ดี... การท่องเที่ยว อุตสาหกรรมที่ทำกำไรและถือเป็นตัวทำลายชั้นเลิศของหลายสถานที่ในเมืองไทย แต่สำหรับชาติอื่นแล้ว....ฉันไม่อาจตัดสินได้ว่า จะเหมือน ของบ้านเรา มากน้อยเพียงใด....หลายๆ ครั้งที่ฉันอาศัยซื้อทัวร์เช่นนี้เพื่อท่องไปในแดนที่ไม่เคยสัมผัส และให้นึกถึงคำไทยที่ว่า...เหมาโหลถูกกว่าจริงๆ
ตลอดเวลาของการท่องเที่ยวครั้งนี้ถูกกำหนดโดยเวลาและไกด์ แต่ก็มีบ้าง บางครั้งที่เราอาจเถลไถลออกนอกลู่นอกทาง...ไม่ได้อยู่ใต้คำสั่งของไกด์เสมอไป... นั่นสินะ... ขืนทำตามกฎหมดทุกอย่าง...ชีวิตคงไร้ชีวาเป็นแน่!

ตีพิมพ์ไว้ที่ วารสารเมืองโบราณ   ๒๕๕๑
นักท่อง...เที่ยวไปในแดน...เทพเจ้า....
โดยนพวรรณ สิริเวชกุล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น