ไอริส
เมอร์ดอด Iris Murdoch
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
ระบุว่า รัก เป็นคำกริยา หมายถึงมีใจเสน่หา และ มีใจผูกพัน
ความรักจึงเป็นอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับความเสน่หาและผูกพันทางอารมณ์อย่างแรงกล้า
ดั่งเช่นประโยคหนึ่งของนักเขียนและนักปรัชญาหญิงผู้นี้
ไอริส เมอร์ด็อค Iris
Murdoch
เธอเคยกล่าวไว้ว่า.....ความรักล้วนต้องการความเข้าใจ รักแท้หรือรักหมดใจ รับรู้ได้ด้วยความรู้สึก.....
ความรักและการใช้ชีวิตร่วมกันระหว่างคนสองคนก็เป็นเรื่องที่อธิบายและเลียนแบบกันยาก
เพราะสิ่งเหล่านี้ต้องการความเข้าใจและการยอมรับซึ่งกันและกันเพื่อประคองชีวิตร่วมกันได้ตลอดรอดฝั่ง
เร็วๆนี้คงเคยเห็นโฆษณาประกันชีวิตที่นำเรื่องราวของสามีภรรยาที่ดูแลกันไปจนแก่เฒ่าแม้ฝ่ายหญิงจะเป็นอัลไซเมอร์ไปแล้วก็ตาม
เชื่อแน่ว่าใครเห็นก็ต้องประทับใจกับชีวิตคู่เช่นนั้น
ไอริส
เมอร์ด็อค นักเขียนนวนิยายและนักปรัชญาชาวไอริช ผู้นี้ก็เช่นกัน
เธอมีชีวิตคู่ที่แสนวิเศษกับ
จอห์น
เบย์ลีย์ John Bayley
กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตที่เธอป่วยเป็นอัลไซเมอร์
ไอริสเป็นผู้หญิงในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง
เธอเกิดที่เมืองฟิสโบรอชจ์ ดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ ได้ชื่อว่าเป็นหญิงหัวก้าวหน้าและออกจะล้ำกว่าใครในยุคนั้น
ถึงขนาดเคยได้รับสมญาว่า เป็นผู้หญิงที่ชาญฉลาดมากที่สุดในอังกฤษ
ด้วยท่วงท่าบุคลิกที่มีลักษณะโดดเด่น บัณฑิตสาวจากวิทยาลัยซอมเมอร์วิลล์
มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด สร้างความตื่นตะลึงให้กับสังคมด้วยจิตวิญาณแห่งเสรีชนในฐานะนักปรัชญาและนักเขียน
เธอเกิดเมื่อวันที่
15 กรกฎาคมปี 1919 ในครอบครัวชนชั้นกลางที่เคร่งครัดในลัทธิเพรสไบทีเรียนหนึ่งในนิกายของศาสนาคริสโปรเตสแตนต์
ครอบครัวของเธออาศัยและทำฟาร์มแกะอยู่ทางตอนเหนือของไอร์แลนด์กระทั่งเธอเกิดได้เพียงไม่กี่สัปดาห์
พ่อของเธอต้องย้ายไปรับราชการที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ไอริสเข้ารับการศึกษาเบื้องต้นที่
ไฟรเบิล เดมอนสเตรชั่นในปี 1925และเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนหญิงล้วนแบดมินตัน
ในบริสทอลตั้งแต่ปี 1932 – 1938 หลังจากนั้นเธอก็เข้าไปศึกษาสาขาวิชาคลาสิก
ประวัติศาสตร์โบราณ และปรัชญากระทั่งจบเป็นบัณฑิตที่วิทยาลัยซอมเมอร์วิลล์
มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ก่อนออกมาทำงานเพื่อหาประสบการณ์ชีวิตในที่ต่างๆหนึ่งในนั้นคือค่ายผู้อพยพสังกัด
United Nations Relief and Rehabilitation
Administration (UNRRA)
เธอกลับไปศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และมีงานเขียนนวนิยายเล่มแรกของตัวเองในปี
1954 เรื่องUnder the net ซึ่งเป็นเรื่องราวของนักเขียนหนุ่มผู้ดิ้นรนแสวงหา
งานของไอริสชิ้นนี้เป็นส่วนผสมของปรัชญากับงานเขียนประเภทเสียดสี (picaresque) ที่มักแสดงให้เห็นรายละเอียดที่เหมือนจริงและตลกเสียดเย้ย
รูปแบบนิยายประเภทนี้เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 ในสเปนก่อนจะแพร่หลายเป็นที่นิยมทั่วยุโรปในศตวรรษที่
17 และ 18 และยังคงส่งอิทธิพลมีผลต่อวรรณกรรมสมัยใหม่เช่นกัน
นวนิยายเรื่องอันเดอร์
เดอะ เนท Under the net นี้ต่อมาในปี
2001 ได้รับเลือกจากบรรณาธิการของโมเดิร์นไลบรารี่ให้เป็นลำดับที่ 95
ของนวนิยายที่ดีที่สุดใน 100 เรื่องของอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 20และในปี 2008 นิตยสารไทม์
TIME ยกย่องให้เธอเป็น 1 ใน 50
นักเขียนชาวอังกฤษที่ยิ่งใหญ่นับตั้งแต่ปี 1945
ดูราวกับเธอจะมีชีวิตที่แสนวิเศษ
เป็นผู้หญิงปราดเปรื่องเป็นสมาชิกพรรคอมมิวนิสต์แห่งเกรทบิเทนในปี 1938
ขณะอยู่ที่ออกซฟอร์ดและลาออกจากพรรคเมื่อปี 1942
เธอพูดได้ถึง 8 ภาษาเช่นตุรกี เหตุก็เพราะเธอต้องการเข้าใจงานเขียนของ
นาซิม ฮิกเมท Nazim Hikmet
นักเขียนและกวีชื่อดังชาวตุรกีที่ได้ชื่อว่าเป็นคอมมิวนิสต์โรแมนติก
และเมื่อเธอหันมาสนใจงานของนักเขียนชาวรัสเซียอย่างฟิโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี
เธอก็ไม่ลังเลที่จะศึกษาภาษารัสเซียจนแตกฉานเพื่อจะได้อ่านงานของดอสโตเยฟสกีจากภาษาต้นฉบับ
ส่วนงานด้านปรัชญาไอริสเริ่มต้นจริงจังกับลัทธิอัตถภาวะนิยม
เธอมีผลงานเขียนเกี่ยวกับเรื่องราวของ
ชอง
ปอล ซาร์ต ตีพิมพ์ในประเทศอังกฤษเป็นครั้งแรกในปีเดียวกับที่เธอออกนวนิยายเล่มแรกของตัวเองนอกจากความสนใจในปรัชญาอัตถภาวะนิยมแต่เริ่มแรกแล้ว
หลังจากนั้นไอริสหันมาให้ความสนใจแนวคิดของเพลโตและเริ่มสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นแบบฉบับของตัวเอง
เธอเคยอธิบายความเชื่อของตัวเองในความดีไว้ว่า...ความงามคือแง่มุมที่มองเห็นและเข้าถึงได้ของความดี
แต่เพราะตัวความดีเองไม่อาจมองเห็นได้
ความรู้ของความดีต้องได้มาด้วยการศึกษาและเข้าใจศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่....
นอกจากมุ่งมั่นทางปรัชญาและความคิดแล้ว
ไอริสยังเป็นสาวสังคมเธอชอบงานรื่นเริงและการดื่มสังสรรค์
เธอสูญเสียคนรักในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองไปถึง 2 คน
ก่อนที่เธอจะมาพบรักและร่วมชีวิตกับสามีจอหน์ เบย์ลีย์ที่เป็นอาจารย์สอนวรรณคดีอังกฤษและนักเขียนเช่นเดียวกับเธอในปี
1956
แต่บางคนก็กล่าวว่าเธอเป็นผู้หญิงโรแมนติกและมีชีวิตที่น่าเศร้า
เคยมีผู้กำกับภาพยนตร์ริชาร์ด แอร์ล Richard Eyre
ที่นำเรื่องราวชีวิตของเธอมาถ่ายทอดผ่านแผ่นฟิล์มออกเผยแพร่ให้ได้ชมกันเมื่อปี
2001
ใครที่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้คงได้เห็นฉากชีวิตของเธอบางฉากที่โลดโผนกับความรักและใช้ชีวิตที่คุ้มสุดคุ้มของเธอกันมาบ้าง
ในชีวิตจริงงานของเธอนอกจากจะได้รับการกล่าวขานว่าใช้นวนิยายเป็นเครื่องมือสะท้อนประเด็นเกี่ยวกับมนุษย์ในเรื่องของการเลือกและการหลอกตัวเอง
บอกเล่าถึงความสัมพันธ์ทางเพศและอำนาจของจิตไร้สำนึกแล้ว ในบันทึกจดหมายรักของไอริสมีการกล่าวถึง
ผู้หญิงที่ชื่อ ฟิลิปปา Philippa
เพื่อนรุ่นน้องของเธอที่ต่างก็ตกหลุมรักกันอย่างรุนแรง กระทั่ง philippa ตัดสินใจแต่งงานกับชายหนุ่มนาม
ไมเคิล
ฟุต Michael Foot และไอริสก็แต่งงานกับจอห์น
เบย์ลีย์ แต่เธอทั้งคู่ก็ยังสานสัมพันธ์ ด้วยการส่งจดหมายถึงกันตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นเรื่องปรัชญาของเพลโต
ข้อโต้เถียงในนิยายที่ไอริสแต่ง หรือแม้กระทั่งอารมณ์รักที่ทั้งคู่ต่างมีให้แก่กัน
ความสัมพันธ์ของไอริสกับฟิลิปปา
ดำเนินควบคู่มากับชีวิตแต่งงานของเธอทั้งสองกระทั่งปี 1959
ไมเคิลตัดสินใจแยกทางกับฟิลิปปา
ในครั้งนั้นยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไอริสกับฟิลิปปารุนแรงมากยิ่งขึ้นถึงขั้นมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกันจนถึงปี
1969 ความสัมพันธ์นี้จึงได้สิ้นสุดลง ฟิลิปปาเดินทางไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
สหรัฐอเมริกา แต่ยังกลับมาที่ออกซฟอร์ดทุกปีและยังคงส่งจดหมายถึงไอริสอย่างสม่ำเสมอ
แต่เธอไม่เคยได้รับจดหมายตอบกลับจากไอริส....
ตลอดเวลานับตั้งแต่ปี
1956 ไอริสใช้ชีวิตร่วมกับจอห์น เบย์ลีย์มาตลอด
และนับว่าเธอเป็นผู้หญิงที่โชคดีคนหนึ่งที่แม้จะมีฉากชีวิตรักที่โลดโผนโจนทะยาน
และใช้ชีวิตแหกขนบของหญิงในยุคสมัยของเธออย่างสิ้นเชิง
สามีอย่างจอห์นก็เข้าใจและรักเธออย่างสุดซึ้ง
ไอริสมีความคิดก้าวหน้าตลอดเวลา
เธอผลิตงานนวนิยายออกมามากกว่า
25 เล่มและยังมีผลงานทางด้านปรัชญาและบทละครอีกมากมาย
และเธอยังได้รับเกียรติยศในปี 1987 ด้วยการได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ Dame Commander of the Order of the British
Empire (DBE)
และในที่สุดเธอเริ่มมีอาการอัลไซเมอร์ในปี
1995 ด้วยอาการเขียนหนังสือไม่ได้ สะกดตัวหนังสือไม่ถูกอย่างที่เคยเขียน
ตลอดช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ไอริสมีจอห์น คอยปรณนิบัติเคียงข้างเธอตลอดเวลา
ทุกวันจอห์นจะพาไอริสไปว่ายน้ำที่ทะเลสาบข้างบ้าน เพราะเขารู้ว่าเธอชอบว่ายน้ำมาก
ดังเช่นที่จอห์นได้เขียนถึงไอริสไว้ในหนังสือของเขาว่า ...มันเหมือนกับมีชีวิตอยู่ในโลกแห่งนิยาย
ผมเป็นชายหนุ่มที่หลงรักสาวสวย
ที่มักจะหายตัวไปในโลกที่เร้นลับแต่เธอก็จะกลับมาเสมอ...
ความรักระหว่างไอริสกับจอห์น
ถูกบางคนยกย่องให้เป็นตำนานรักโรแมนติกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษ
เรื่องราวชีวิตรักของคนทั้งคู่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า รักที่แท้นั้นเป็นเช่นไร
เขาทั้งคู่ผ่านเรื่องราวที่ดีและรันทดมาด้วยกันอย่างเข้าใจและรักกันอย่างแท้จริง
ไอริสเคยเขียนถึงความรักไว้ตอนหนึ่งว่า....
มนุษย์รักกันในเรื่องเพศ ในมิตรภาพ และเมื่อพวกเขาอยู่ในความรัก เขาจะหวงแหนคนอื่นไม่ว่าจะเป็นคน
สัตว์ พืชหรือแม้กระทั่งก้อนหิน การแสวงหาความสุขและเติมเต็มความสุขนี้
คือพลังแห่งจินตนาการของเรา.
ไอริสจากโลกนี้ไปด้วยวัย
79 ปีในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1999 หลังจากนั้นเถ้ากระดูกของเธอถูกนำมาโปรยอยู่ในบริเวณสวนฌาปนสถานที่เมืองออกซฟอร์ด
ประเทศอังกฤษ จอห์นสามีของเธอได้เขียนประวัติชีวิตของไอริสออกเผยแพร่ในชื่อ Elegy for Iris ตีพิมพ์ในปี
1999 กระทั่งถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เพื่อให้ได้ชมกันและมุ่งเน้นไปในเรื่องความรักของคนทั้งคู่
ฟิลิปปาได้กล่าวถึงไอริสไว้ว่า เธอคือแสงสว่างของชีวิต
ฟิลิปปาเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปี 2010 นี้เอง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น