1/18/2555

จากสมุดบันทึกเก่าๆ

รื้อค้น จัดห้องหับใหม่ หลังน้ำลด เจอโน่น พบนี่ มากมาย หนึ่งในนั้นคือสมุดบันทึก ที่เปิดๆ ดูแล้วก็นึกสนุกอยากเขียนไว้อีกที่ทางหนึ่ง  หนึ่งในหลายหน้าของสมุดบันทึก ฉันเขียนๆ ลอกๆ เอาไว้ว่า...
...การรวมกลุ่มเป็นเมือง เกิดจากปัจจัยแวดล้อมอะไรบ้าง...
ย้อนกลับไปในสมัยก่อน การสร้างอาณาจักร สร้างเมือง ล้วนต้องการ แรงงานของมนุษย์เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานทั้งสิ้น เมืองไหนมีไพร่พลเยอะำก็ถือว่าเมืองนั้นแข็งแรงแน่นหนา หากมีศึกสงครามก็ต้องใช้กำลังคนเหล่านี้เป็นพลังในการต่อสู่ แน่นอนหากฝ่ายใดพ่ายแพ้ กำลังคนของฝ่ายนั้นต้องถูกกวาดต้อนเพื่อเป็นเชลยศึก เพื่อยังประโยชน์ ให้แก่เมืองที่ได้ชัยชัน....

และ...
ในภาษาชาวบ้าน "สิทธิ" จึงหมายถึง การที่พวกเขาเป็นผู้กำหนดวิถีชีวิตของเขาได้เอง ถ้าคนอื่นมากำหนดให้เขา โดยจับเขาย้ายออกไป ก็ต้องถามว่าคนนั้น สามารถจะมารองรับชีวิตเขาได้หรือเปล่า
ชาวบ้านต้องการจะบอกว่า พวกเขาเป็นคน และคนเราเป็นที่มนุษย์ก็สามารถกำหนดชีวิตของตัวเองได้ แต่เมื่อคนอื่นอยากจะมาบงการชีวิตของเขาแทนตัวเขาแล้ว คนเหล่านั้นก็จะต้องสามารถรับผิดชอบต่อชีวิตของพวกเขาให้ได้ด้วย

และั...
แต่ละชั้ยของสังคมมีลำดับศักดินาที่ต่างกัน ทำให้แต่ละบุคคลมีชั้นและฐานะทางสังคม ตลอดจนหน้าที่ และความรับผิดชอบต่างกัน
ัทั้งอยุธยาและสุโขทัย มีระบบความสัมพันธ์ทางสังคมแบบศักดินากับระบบเศรษฐกิจที่มีพื้นฐานบนเกษตรกรรมได้สร้างความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในทางสังคมและเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ผู้ที่มีศักดินาสูงยอ่มมีโอกาสที่ะได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจและอำนาจทางการเมืองตลอดจนสามารถสะสมอำนาจและความมั่งคั่งได้มากกว่าผู้ที่มีศักดินาต่ำกว่า ดังนั้น อำนาจทางการเมืองและความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจจึงเป็นปัจจัยที่เสริมซึ่งกันและกัน โดยตำแหน่งและฐานะทางราชการเป็นตัวกำหนด สถานภาพทางสังคม และเป็นปัจจัยอันนำมาซึ่งความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ

ไพร่ ในสมัยอยุธยา คือปัจจัยการผลิตในด้านแรงงานที่สำคัญ ไพร่ตามกฎหมายไทยต้องขึ้นทะเบียนสังกัดมูลนาย เพื่อแลกเปลี่ยนกับสิทธิทางกฎหมาย และการได้รับความคุ้มครองจากเจ้านาย

และ...
1. เกริ่นถึงระบบศักดินาของไทยที่หล่อหลอมให้คนในสังคมมีระบบคิดแบบชนชั้น เจ้าพระยามีที่เยอะ มีแรงงานที่จะผลิตสิ่งของให้ตนเองได้ และถือว่าตนเองเป็นเจ้าของแรงงาน ไม่ใช่เจ้าของคน
2. ด้วยระบบคิดนี้เองที่ทำให้ คนชั้นสูงของไทยโดยเฉพาะในวงราชการนึกอยากจะทำอะไรก็ทำได้ เพราะพวกเขานึกอยากจะได้ที่ดินตรงไหนก็เพียงแต่ขอ พวกเขาก็ได้แล้ว
3. นอกจากได้ที่ดิน พวกเขาก็ยังได้ทาสติดที่ดินไปด้วย ทาสเหล่านี้ นี่เองที่เป็นกำลังการผลิตให้กับคนพวกนี้ ได้อย่างดี
4. ทาสมาจากไหน ในบันทึกของฝรั่ง สมัยอยุธยากล่าวว่า เชลยศึกที่พ่ายแพ้สงคาามก็จะกลายเป็นแรงงาน ให้กับขุนศึก พวกเขามีหน้าที่ผลิตและออกรบ เพราะแต่ก่อนประชากรน้อย คนถือเป็นทรัพยากรที่มีค่ามาก ทั้งทางเศรษฐกิจและการทหาร
5. แต่หลังจากที่บ้านเราปรับเปลี่ยน การปกครองเข้าสู่ประชาธิปไตย รากความคิดดั้งเดิมในระบบศักดินาก็ใช่ว่าจะลบออกไปจากชนชั้นขุนนางได้หมด เพราะระบบคิดแบบนี้พวกเขาไม่มีเสีย มีแต่ได้ ความคิดนี้จึงถูกส่งผ่านรุ่นต่อรุ่นไม่มีวันจบสิ้น
6. ขณะที่ทุนนิยม กลายเป็นกระแสหลักของสังคมไทย กำลังคนในการผลิตทางภาคเกษตร ถือว่าไม่สำคัญอีกต่อไป ทรัพยากรเหล่านี้จึงถูกทอดทิ้ง และถือเป็นภาระที่ไม่มีประโยชน์ ทรัพยากรทางธรรมชาติ เริ่มมีคุณค่ามากขึ้น ตามลำดับของเม็ดเงิน
7. ขณะที่คนอยู่ในพื้นที่ ที่มีผลประโยชน์มากกว่า ก็จำต้องอพยพโยกย้าย เพื่อผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ การโละทิ้ง "คน" จึงมีให้เราเห็นกันอยู่เสมอมา ไม่ว่าจะเรียกพื้นที่ใหม่ให้สวยหรูอย่างไรก็ตาม คน ก็กลายเป็นสิ่งที่ถูกโละทิ้งอยู่ดี

และ...
ชาวบ้านในท้องถิ่นก็กลายเป็นพวกบ้านแตกสาแหรกขาดไป เพราะต้องอพยพโยกย้ายจากท้องถิ่นเดิม หาได้เงินค่าเวนคืนที่ดินและพืชผลเพียงพอแก่การสร้างชุมชนแบบที่เคยอยู่กันมาช้านานแต่เดิมไม่ เพราะชุมชนท้องถิ่น ไม่ได้เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ต้องอาศัยการสร้างสรรค์ทางสังคมในหลายชั่วคนที่จะทำให้เกิดขึ้น....

สรุป...จนบัดนี้ ฉันก็ยังจำไม่ได้ ว่า ข้อมูล ข้อความทั้งหมดนี้ ฉันเขียนไปที่ไหน และเรื่องอะไร... ค่อยๆ นึก คงจะจำได้เอง!!

1/13/2555

นักท่อง...เที่ยวไปในแดน...เทพเจ้า....

น่าแปลกที่ระยะหลังมานี่ ฉันมักจะสถาปนาตัวเองเป็นนักท่องเที่ยว เที่ยวไปตามที่ต่างๆ อย่างนักท่องเที่ยวอื่นๆ เขาทำกัน... ซื้อทัวร์ ไปชมในสิ่งที่คนอื่นๆ ได้ชม...ใช้เวลาในแต่ละสถานที่อย่างจำกัด ด้วยทุกอย่างต้องเป็นไปตาม ไกด์สั่ง!!....

หลังสุดนี่ก็เช่นกัน...นั่งมองผู้คนในเมืองยอกจาการ์ต้าไปมาอยู่สองสามวัน...เดินดูรอบๆ เมือง พักผ่อนพอหายเหนื่อย ก่อนจะต้องเดินทางต่อไปอีกเมืองหนึ่ง...ก็มีเหตุให้ได้ซื้อทัวร์....เพื่อไปเยือนดินแดนแห่งเทพเจ้า....เดียง พลาโต Dieng Plateau

นัยว่าทัวร์นี้ขายไม่ค่อยออก...หนึ่งเพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่อยากไปหลายที่ในหนึ่งวัน สองเพราะคนที่อยากจะไปเดียงพลาโต ก็ไม่ค่อยมีใครอยากไปภายในเวลาจำกัด...10 ชั่วโมงไม่ขาดไม่เกิน..
แต่ด้วยเวลาและสนนราคาแล้ว พอจ่ายได้ จึงตัดสินซื้อทัวร์ซึ่งประหนึ่งเราได้คนขับรถหนึ่งคน พร้อมผู้นำทางอีกหนึ่งไปกับคณะคนไทย 3 ชีวิตที่บัดนี้เปลี่ยนสถานะกลายมาเป็นนักท่องเที่ยว....

ฉันเองเคยรับรู้เรื่องเดียง พลาโตมาหลายปีแล้ว...แต่ไม่ใคร่สนใจที่จะต้องไป เมื่อมีโอกาสไปเยือนยอกจาการ์ต้า ใจก็จดจ่อแต่บุโรพุทโธและพราหม์ปณัม สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของทั้งพุทธและฮินดู....ทั้งสองที่นั้น คนไทยหลายคนมักไปเยือน...

จำได้ว่า ระยะทางจากในเมืองยอกจาการ์ต้า เพื่อไปถึงเดียง พลาโต นั้นต้องผ่านเมืองใหญ่อย่าง wonosobo เราแวะกินข้าวกันที่นั่น...แม้ว่าไกด์จะพยายามให้เราไปถึงที่หมายให้ได้ก่อนก็ตาม...แต่...ด้วยความที่เป็นพี่ไทยของพวกเรา ทำให้ไกด์ชาวชวา ต้องยอมแพ้ แวะให้เรารับประทานอาหารออมเรี่ยวออมแรงกันก่อนจะไปเผชิญความหนาวแห่งเดือนเมษายน....

ใช่...ที่เขียนมานั้นไม่ผิดค่ะ...หนาวในเดือนเมษายนตรงเส้นศูนย์สูตรของโลก....

เส้นทางระหว่างโวโนโซโบไปยังเดียงพลาโต นั้นต้องข้ามภูเขาลูกใหญ่ๆ จะกี่ลูกนั้น สุดจะคาดเดา..ทางที่ลัดเลี้ยวไปตามไหล่เขา ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างฉันตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก...พวกเขาทำไร่ ทำนากันได้อย่างไร...

อย่างบ้านเราผู้คนที่อยู่บนเทือกเขาทำนา ทำไร่กับภูเขา...ก็ว่ามันสุดลูกหูลูกตาแล้ว แต่..ที่นี่... เขาเดินไปกลับกันได้อย่างไร... ไกด์ตอบกลับมาให้หายข้องใจว่า...ที่นี่ไม่ได้ไปไร่กันทุกวัน สัปดาห์หนึ่งไปครั้งหนึ่ง แต่ละครั้งต้องไปนอนที่นั่น ก่อนจะกลับมาในวันรุ่งขึ้น เพราะภูเขาที่นี่ อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 4,000 ฟุต...

หมอกระเรี่ยไปกับพาหนะของเรา ตลอดเส้นทาง....ที่นี่เอง ที่ทำให้ฉันนึกถึงคำว่า Exotic ใช่ ฉันรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ อินโดนีเซีย เมืองประหลาดที่มีเสน่ห์เกินคาดเดา....

เมื่อถึงเดียง พลาโต สถานที่แรกแห่งการท่องเที่ยวในวันนั้น ทำเอาฉันตะลึงไปกับความงาม....หมอกโรยตัวโอบปราสาททั้งห้าหลัง เบื้องหน้าเราไว้....พร้อมม้วนตัวของมัน พาเราเคลื่อนสู่ปราสาทประธาน...

ไกด์เริ่มต้นงานของเขาที่นี่....เขาเริ่มต้นเล่าถึงประวัติของปราสาททั้งห้าหลัง ที่เชื่อมร้อยเข้ากับ
มหาภารตะ...กาพย์ที่ยิ่งใหญ่ของคนชวา....

เขาชี้ไปที่วิหารอรชุน พร้อมบอกกับบรรดาชายหนุ่มว่า ที่นี่ หากใครต้องการมีผู้หญิงได้หลายคนให้ขอพรที่วิหารอรชุนแห่งนี้...ฉันผู้ซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวจึงเกิดความรู้สึกไม่เท่าเทียมจึงเอ่ยถามไปว่า แล้วไหน วิหารสำหรับผู้หญิงที่จะมีผู้ชายได้หลายคนเล่า??....

ไกด์ทำท่างง เล็กน้อย ก่อนบอกให้ฉันไปขอพรที่วิหารหลังที่สาม ซึ่งเป็นวิหารของ Pun tadewa (จันทิปุนตเทพ) พี่ชายคนโต ผู้ซึ่งปราศจากความโกรธ มีเลือดเป็นสีขาว และเป็นผู้ที่ทำให้ปราศจากสงคราม... ไกด์บอกกับฉันว่า ไปขอพรที่นั่น เพราะผู้ชายคนนั้นใจดี!!

หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มต้นถามไกด์.... ที่นี่สร้างเมื่อไร... ไม่ทราบ...ไม่มีคำตอบ รู้แต่ว่า..ที่นี่เคยเป็นที่อยู่ของคนมานานมากแล้วและเคยมีน้ำท่วมขังบริเวณปราสาท ก่อนที่น้ำจะเปลี่ยนเส้นทางไป จึงทำให้ผู้คนในสมัยต่อมาพบซากของปราสาทเหล่านี้มากมาย... แต่ที่เหลือคงไว้ได้นั้น มีไม่ถึง 10 หลัง...ส่วนหนึ่งผู้คนที่อพยพมาอยู่ใหม่ ช่วงดัทช์เป็นเจ้าอาณานิคม ก็นำหินสกัดที่สร้างปราสาทเหล่านั้น เป็นสร้างบ้านของตัวเอง....

ไกด์ ชี้ไปที่บึงใหญ่ ท้าย บริเวณปราสาท ห้าหลังที่อยู่ติดกัน ว่า นั่นล่ะ น้ำไปอยู่ตรงนั้น ลึกแค่ไหนไม่มีใครรู้ แต่ ว่ากันว่ามีปลาใหญ่มากๆ อยู่ที่นั่น วันดีคืนดี ถ้าเป็ดของชาวบ้านคนไหน หนีเจ้าของไปว่ายน้ำเล่น...ก็จะหายไปทันที...เพราะมันจะกลายสภาพเป็นอาหารของสัตว์น้ำใต้บึงที่ไม่เคยมีใครได้เห็น....

แม้ว่า สิ่งที่ไกด์เล่าให้นักท่องเที่ยวอย่างฉันฟังจะผิดเพี้ยนไปจากประวัติศาสตร์อย่างสิ้นเชิง แต่มันก็ทำให้ทริปท่องเที่ยวนี้...สนุกสนานเต็มไปด้วยชีวิตชีวา..และข้อสำคัญ ฉันรู้สึกว่า มันจับต้องได้...
เขาสามารถทำให้โบราณสถานที่มีแต่อิฐ หิน....และความขรึมขลัง มีชีวิตชีวา โลดเต้นไปกับยุคปัจจุบันแม้ว่ามันจะไม่มีแก่นสารเลยก็ตาม...

เดียง พลาโต เท่าที่ฉันเคยอ่านพบ.... ที่นี่เป็นปราสาทยุคแรกๆ ของฮินดูที่แพร่อิทธิพลมาถึงเกาะชวา และถือเป็นเทวสถานสถิตแห่งเทพเจ้าจำนวนมาก ที่ถูกสร้างขึ้นของลัทธิไศวนิกาย และมีอายุเก่าแก่ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 7 - 12

มีการพบจารึกภาษาสันสกฤต และมีผู้สันนิษฐานว่า เทวาลัยเหล่านี้อาจสร้างขึ้นโดยราชวงศ์มะตะรัมของพระเจ้าสัญชัย ซึ่งแผ่อิทธิพลครอบคลุมตลอดอาณาเขตชวาภาคกลาง ครั้งหนึ่งเดียงจึงเป็นอาณาจักรอันเฟื่องฟูของศาสนสถานและนักบวชฮินดู

ครั้นเมื่อศาสนาอิสลามรุ่งเรืองขึ้นแทนที่ เดียงก็ถูกเมินเฉย...ปล่อยให้เรื่องราวเลือนหายไปกับกาลเวลา..กระทั่งมาถึงปี ค.ศ.1830 ผู้คนเริ่มกลับมาตั้งถิ่นฐานอีกครั้ง และไม่มีใครรู้รายละเอียดเกี่ยวกับศาสนสถานแห่งนี้เลย และแน่นอน พวกเขาก็นำอิฐหินที่ดูประหนึ่งเป็นซากปรักหักพังเหล่านี้ มาใช้ประโยชน์ให้ตัวเองด้วยการสร้างบ้าน...

...เราอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่ไม่ได้นาน...ไกด์ก็สะกิดให้ไปต่อ...คราวนี้เราเดินไปยังปราสาทอีกหลังที่ยังหลงเหลือ Gatotkaga(จันทิคโตตกัตชะ) เทพผู้เหินไปในเวหาผู้ซึ่งเป็นบุตรของ เทพเจ้าภีมะ(จันทิภีมะ)...ก่อนที่เราจะได้เยือนวิหารแห่งเทพภีมะ... เทพผู้ทรงพลัง..ไกด์หันมาบอกกับเราว่า....เชื่อไม่เชื่อ แล้วแต่คุณนะ... ทีนี่ หากเดินวนรอบวิหารแล้วขอพรไปด้วย ก็จะได้ดังสิ่งหวัง.... ก่อนหน้าเรา มีชายหนุ่มสองคนชาวชวาที่ ดูจากการแต่งตัวแล้ว ไม่น่าจะเชื่อในสิ่งเหล่านี้...ยังไปเดินวนรอบวิหารเพื่อขอพร มีการโพสต์ท่าถ่ายรูปหลังขอพรเสร็จ ลีลาที่ไม่ต่างจากเด็กแนวบ้านเรา....

ในวันเดียวกันนั้น....เราก็เดินทางมาอีกสถานที่หนึ่งในหุบของเทพเจ้า...sikendang กลิ่นกำมะถันลอยมาเตะจมูกอย่างจัง.... ที่นี่ เป็นหนึ่งในปากปล่องภูเขาไฟที่เคยระเบิดและยังไม่ตาย.... ไกด์ยังคงทำหน้าที่ของเขาต่อไป ด้วยการเล่าเรื่องโศกนาฎกรรมให้กับพวกเราผู้ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวฟังว่า... เมื่อราวปี ค.ศ.2000 มีหญิงสาวผู้หนึ่งพลาดหวังจากความรัก ด้วยว่าชายหนุ่มคนรักของเธอหันไปแต่งงานกับคนอื่น... เธอจึงมาสังเวยรักของตัวเองที่นี่...ด้วยการกระโดดลงไปในปากปล่องภูเขาไฟที่เต็มไปด้วยโคลนเดือดที่มีอุณหภูมิกว่า 100 องศา

ไกด์คงคิดว่า มันยังไม่เศร้าพอ เขาจึงเล่าให้ฉันฟังต่อว่า ร่างของเธอนั้นไม่จม และไม่มีใครช่วยเหลือได้ จะทำก็แต่เพียงใช้ไม้เขี่ยร่างของเธอขึ้นมาเท่านั้น!!!

หลังจากฟังโศกนาฏกรรมที่บ่อโคลนเดือดจบ เราก็ต้องไปเยือนอีกสถานที่หนึ่ง Telaga warna Dieng หรือ Rainbow lake ทะเลสาบสายรุ้ง....

โชคไม่ดีหรืออย่างไร ไม่อาจตัดสิน ในวันที่เราไปเยือนทะเลสาบแห่งนี้ ถูกหมอกปกคลุมจนไม่อาจเห็นสีของรุ้งในทะเลสาบแห่งนั้นได้....คงเปรียบคล้ายความรักของชายหนุ่มหญิงสาวที่เป็นตำนานของทะเลสาบแห่งนี้ ที่ฉันเลือกที่จะเชื่อ...มากกว่าตำนานเรื่องอื่นๆ ที่เอาเข้าจริง มีมากมายหลายตำนานเหลือเกิน...

.....ด้วยว่ากาลครั้งหนึ่ง ณ ทะเลสาบแห่งนี้มีหญิงสาวจากแดนไกลพี่น้อง 7 คนจะมาลงเล่นน้ำอย่างสม่ำเสมอ และที่นี่ คล้ายเป็นดินแดนต้องห้ามที่คนเข้าไปไม่ถึง...แต่แล้ววันหนึ่งก็มีชายหนุ่มที่หาญกล้า อยากพิสูจน์ว่า ทีนี่มีสิ่งใดกันแน่...เขาจึงฝ่าฝืนกฏของสังคม...แอบย่องเข้าไป และพบสาวงามทั้ง 7 ลงเล่นน้ำอยู่....
เขาตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้หยิบเสื้อผ้าของหญิงสาวที่จะเป็นเนื้อคู่ของตนขึ้นมา... จากนั้น เขาก็หยิบเสื้อผ้าของหนึ่งในหญิงสาวทั้งเจ็ดไว้ได้... และด้วยกลิ่น ที่ผิดไปจากเดิมจึงทำให้หญิงสาวทั้ง 7 ล่วงรู้ว่ามีคนแปลกหน้าบุกรุกเข้าในสระแห่งนี้ จึงรีบแต่งตัวและหนีหายไป คงเหลือแต่...หญิงผู้ซึ่งชายหนุ่มคนนั้นอธิษฐานขอเป็นเนื้อคู่...

ทั้งคู่ตกหลุมรักกันและกันทันที ที่ได้สบตา.... จากนั้นก็ไปครองคู่กัน เช่นชายหนุ่มหญิงสาวทั่วไป...โดยหญิงสาวมีข้อแม้ ต่อสามีของตัวเองว่า ทุกครั้งที่นางลงมือทำครัว โปรดอย่าเข้ามาและอย่าเปิดฝาหม้อข้าวหม้อแกงใดๆ ด้วยตนเอง....

ทั้งสองครองรักกันมาได้อย่างราบรื่นเป็นเวลา กว่าสองปี แล้วอยู่มาวันหนึ่งด้วยความอยากรู้อยากเห็นของสามี จึงแอบเปิดฝาหม้อในครัว....เมื่อฟังถึงตอนนี้ ฉันเองก็ลุ้นว่า ต้องเห็นอะไร หรือไม่ก็หักมุมแน่ๆ... เปล่าเลย... สามีไม่เห็นอะไร...ยังคงเห็นข้าวเต็มหม้อ อาหารเต็มโต๊ะเหมือนเช่นตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่.... เขาเริ่มสังเกตเห็นสีหน้าของภรรยาตัวเองที่เศร้าหมองลงไปทุกวัน

กระทั่งเวลาผ่านไปหลายวัน ข้าวและอาหารเริ่มพร่องลงไปจากสำรับ กระทั่งมาถึงวันสุดท้าย ข้างใต้หม้อข้าวนั้นคือ เสื้อผ้าชุดแรกของฝ่ายหญิงนั่นเอง.... นางต้องไป.... ต้องกลับไปยังที่ ที่นางจากมา.....
ผู้สามีรู้ตัวว่าทำผิดไปถนัดใจ ครั้นจะแก้ไขความผิดพลาดครั้งนี้ ก็สายเกินไปสำหรับทุกอย่างแล้ว... ด้วยว่า เขา ไม่รักษาสัจจะที่เคยให้ไว้กับภรรยาตัวเอง.....

ทั้งคู่จากกันด้วยความรัก...เศร้าโศก... ชายหนุ่มพยายามทุกวิถีทางที่จะได้นางอันเป็นที่รักของตัวเองคืนมา..เฝ้าวิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย แต่ไม่เคยสัมฤทธิ์ผล...กระทั่งวันหนึ่ง เขาได้รับคำตอบจากฟ้า ว่า ในคราที่ทะเลสาบที่เขาและเธอพบกันครั้งแรก เป็นสีรุ้ง...เวลานั้น เขาทั้งคู่จะได้พบกัน... หากหมดสีแห่งรุ้ง...พวกเขาก็ต้องพลัดพรากจากกันอีก จนกว่า รุ้งนั้นจะกลับมา...

เรื่องที่ไกด์เล่านี้ ฉันเคยฟังมาจากเพื่อนต่างชาติคนหนึ่งก่อนหน้านี้มาแล้ว เลยทำให้ฉันคิดไปถึงตำนานความรักสองเรื่อง สองถิ่น เรื่องหนึ่งฉันคิดให้ละม้ายพระสุธน มโนราห์ ครั้งที่พรานไปจับนางมโนราห์ มาถวายพระสุธน อีกเรื่องหนึ่งจะนึกถึงเรื่อง เจ้าหญิงทอหูกกับชายเลี้ยงวัว เทศกาลทานาบาตะของญี่ปุ่น...ความรักที่ต้องมาพร้อมกับการพลัดพรากและรอคอย....

เราจบทริปท่องเที่ยววันนั้น ด้วยความเร็วของรถที่ต้องเร่งทำเวลาให้กลับมายังยอร์กจาการ์ต้าภายในเวลาที่กำหนด และนี่คือการท่องเที่ยวแบบนักท่องเที่ยวของฉัน...ที่ไม่อาจตัดสินได้ว่า ดีหรือไม่ดี... การท่องเที่ยว อุตสาหกรรมที่ทำกำไรและถือเป็นตัวทำลายชั้นเลิศของหลายสถานที่ในเมืองไทย แต่สำหรับชาติอื่นแล้ว....ฉันไม่อาจตัดสินได้ว่า จะเหมือน ของบ้านเรา มากน้อยเพียงใด....หลายๆ ครั้งที่ฉันอาศัยซื้อทัวร์เช่นนี้เพื่อท่องไปในแดนที่ไม่เคยสัมผัส และให้นึกถึงคำไทยที่ว่า...เหมาโหลถูกกว่าจริงๆ
ตลอดเวลาของการท่องเที่ยวครั้งนี้ถูกกำหนดโดยเวลาและไกด์ แต่ก็มีบ้าง บางครั้งที่เราอาจเถลไถลออกนอกลู่นอกทาง...ไม่ได้อยู่ใต้คำสั่งของไกด์เสมอไป... นั่นสินะ... ขืนทำตามกฎหมดทุกอย่าง...ชีวิตคงไร้ชีวาเป็นแน่!

ตีพิมพ์ไว้ที่ วารสารเมืองโบราณ   ๒๕๕๑
นักท่อง...เที่ยวไปในแดน...เทพเจ้า....
โดยนพวรรณ สิริเวชกุล

หลายพันธุ์ข้าว หลากพันธุ์คน

วัฒนธรรมข้าว วัฒนธรรมคน
ไทยเราไม่ใช่สังคมเดียวในโลกนี้ที่ได้ชื่อว่าอยู่ในวัฒนธรรมข้าว เพราะยังมีสังคมอื่นๆ อย่าง จีน ญี่ปุ่น รวมทั้งประเทศต่างๆในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ถือตัวว่าอยู่ในวัฒนธรรมข้าวเช่นกัน ดังนั้นสังคมไทยจึงถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมข้าวที่มีประเทศเพื่อนบ้านอยู่ร่วมวัฒนธรรมกับเรา...

ข้าวถือเป็นอาหารหลักของคนไทยทุกภาคมาเนิ่นนาน สิ่งนี้เองที่เป็นตัวก่อให้เกิดวัฒนธรรมและพิธีกรรมที่เกี่ยวกับข้าวในผู้คนที่อาศัยอยู่แต่ละภาคของไทย...
ภาคอีสานเองประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น ไทย ลาว กูย เขมร โซ่ กะเลิง ญ้อ ที่ล้วนแล้วแต่มีข้าวเป็นอาหารหลักแทบทั้งสิ้น

โดยส่วนใหญ่เรามักเข้าใจกันเอาเองว่า คนอีสานกินข้าวเหนียว คนภาคกลางกินข้าวจ้าว แท้แล้วคนอีสานหลายเผ่าพันธุ์ก็กินข้าวจ้าวเหมือนๆ กับใครอีกหลายภาค หนึ่งในกลุ่มที่กินข้าวจ้าวเป็นหลักในภาคอีสานก็คือ คนไทยเชื้อสายเขมรหรือที่นักวิชาการทางมานุษยวิทยามักจะให้คำจำกัดความว่าเป็นกลุ่มเขมรถิ่นไทย

หากจะเอ่ยถึงชาวไทยเชื้อสายเขมร คงจะนึกถึงจังหวัดสุรินทร์เป็นอันดับต้นๆ เพราะประชากรในจังหวัดสุรินทร์นั้นกว่าครึ่งที่เป็นคนไทยเชื้อสายเขมร  สุรินทร์เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางภาคอีสานตอนใต้ มีกลุ่มคนอาศัยอยู่ 3 เชื้อชาติหลัก อันประกอบไปด้วย เขมร กูย และลาว

ตามหลักฐานการสร้างเมิองสุรินทร์ บรรพบุรุษของคนถิ่นนี้เป็นชาวกูย ต่อมาจึงมีการอพยพชาวเขมรเข้ามาตั้งหลักปักฐานและชาวลาวอีกจำนวนหนึ่ง และเป็นเพราะเขมรนั้นมีวัฒนธรรมที่สูงกว่ากูย จึงค่อยๆ กลืนเอาคนกูยที่พูดภาษากูยมาเป็นพวกของตน

เขมรถิ่นไทยกระจายตัวกันอยู่ในเขตจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และมีบางส่วนอพยพไปอยู่ที่เขตจังหวัดนครราชสีมา อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ปราจีนบุรี ตราด จันทบุรี ฉะเชิงเทรา สระแก้ว
โดยทั่วไปของชาวเขมรถิ่นไทยจะเป็นครอบครัวใหญ่ มีการอยู่รวมกันหลายๆ ครอบครัวในบ้านหลังเดียวกัน ครอบครัวหนึ่งอาจมีทั้งลุง ป้า น้า อา ตา ยาย หรือปู่ย่า พ่อแม่ พี่น้อง ลูกหลานอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ทุกวันนี้เขมรถิ่นไทยในสุรินทร์เกือบทั้งหมดพูดได้สองภาษาไทยกับเขมร บางคนพูดภาษาลาวได้อีกถ่ายหนึ่ง

นอกจากเขมรถิ่นไทยแล้ว สุรินทร์ยังมีคนกูยที่ถือเป็นชนกลุ่มแรกในการสร้างเมืองสุรินทร์อาศัยอยู่ด้วย กูยหรือส่วย หรือโกย กลุ่มคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเลี้ยงช้าง จนทำให้สุรินทร์มีชื่อเสียงโด่งดังว่าเป็นเมืองช้าง  ว่ากันว่าถิ่นฐานเดิมของกูยอยู่บริเวณตอนเหนือของเมืองกำปงทม ประเทศกัมพูชา กูยเป็นชนเผ่าที่ชอบอพยพเคลื่อนย้ายอยู่เสมอเพื่อแสวงหาที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ต่อการเพาะปลูก นอกจากเมืองกำปงทมแล้ว กูยยังอพยพมาทางเมืองอัตตะปือ แสนปาง จำปาสักและสารวัน บริเวณตอนใต้ของประเทศลาวอีกด้วย

กูยอพยพเข้ามาในเขตเมืองไทยประมาณปลายสมัยอยุธยากระทั่งธนบุรีตั้งบ้านเรือนบริเวณเขตจังหวัดสุรินทร์และศีรสะเกษเป็นหลักใหญ่ และเป็นเพราะชาวกูยมักจะตั้งถิ่นฐานปะปนอยู่กับชาวเขมรสูงและชาวลาว จึงมีการติดต่อแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ทำให้ชาวกูยถูกกลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมทั้งสอง ดังจะเห็นในประวัติศาสตร์เมื่อครั้งสร้างเมืองสุรินทร์ใหม่ นั้นมีคนกูยทั้งเมือง จะมีชาวเขมรปะปนอยู่เพียงเล็กน้อย แต่นานวันเข้าวัฒนธรรมเขมรสูงหรือเขมรถิ่นไทย ก็ค่อยๆ เข้ามามีอิทธิพลเหนือวัฒนธรรมของชาวกูยในที่สุด กูยที่รับเอาวัฒนธรรมเขมรเข้ามาและเปลี่ยนภาษาพูดเป็นภาษาเขมรมักจะถูกเรียกว่าเป็น เขมรส่วย ส่วนกูยที่ได้เปลี่ยนไปพูดภาษาลาว อีสานก็จะถูกเรียกว่าเป็นพวก ลาวส่วย...

การผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมสายกูยกับสายลาว จึงเป็นการยากที่แยกจากกันอย่างเด็ดขาด เพราะสองชนชาตินี้ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ร่วมกันที่เมืองจำปาสักเป็นเวลากว่า 400 ปี ชาวไทลาวที่อาศัยอยู่ในหัวเมืองเขมรป่าดงมีความเกี่ยวเนื่องกับชาวลาวที่อพยพเข้ามาอยู่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา และได้อพยพเข้ามาอยู่ตอนกลางของอีสานในราวปีพ.ศ.2261 เมื่อกษัตริย์ผู้ครอง
นครจำปาสัก ได้ส่งเจ้าแก้วมงคล มาตั้งเมืองทุ่งหรือเมืองท่ง พร้อมไพร่พลกว่าสามพันคน ในเขตอำเภอสุวรรณภูมิจังหวัดร้อยเอ็ดในปัจจุบัน

ต่อมาในรัชสมัยของพระเจ้ากรุงธนบุรี กษัตริย์เวียงจันทน์เกิดผิดใจกับพระวอ พระตาซึ่งเป็นเสนาบดีของพระองค์ พระวอกับพระตาจึงอพยพไพร่พลมาตั้งเมืองหนองบัวลุ่มภูในเขตจังหวัดอุดรธานี การตั้งเมืองทุ่งบริเวณตอนเหนือของลุ่มน้ำมูล ในเขตชายทุ่งกุลาร้องไห้ทางด้านเหนือเป็นเพียงระยะแรก เมื่อเห็นว่าทำเลใกล้แม่น้ำมูนดีกว่า จึงมีชาวลาวอพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ปัจจุบันและเมืองขุขันธ์ทางตอนเหนือ  อิทธิพลทางสังคมและวัฒนธรรมของลาวได้เข้ามาผสมในหมู่บ้านชาวกูยที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้กับชาวลาว ในช่วงนี้เอง

จึงกล่าวได้ว่า วัฒนธรรมของทั้งสามเชื้อชาติเขมร ลาว กูย เมื่อได้อาศัยอยู่ร่วมกันในเขตจังหวัดสุรินทร์ก็ ได้ผสมกลมกลืน จากการที่ได้อยู่ร่วมและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมประเพณีกันมาเนิ่นนาน ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน ประเพณีความเชื่อ หรือแม้กระทั่งภาษาพูด

ยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลง
อาจกล่าวได้ว่า หมู่บ้านชนบททุกแห่งในภาคอีสานเป็นชุมชนที่มีลักษณะของ สังคมชาวนา เช่นเดียวกับชุมชนชนบทของไทยทั่วไป ในทางมานุษยวิทยานั้น สังคมชาวนาเป็นลักษณะของสังคมมนุษย์กลุ่มหนึ่งตามลักษณะการจัดแบ่งกลุ่มหรือแบ่งประเภทของสังคมมนุษย์อย่างกว้างๆ ซึ่งแบ่งออกเป็น สังคมดั้งเดิม (primitive or tribal society) สังคมชาวนา(peasant society) และสังคมอารยธรรมสมัยใหม่(modern civilization society) เมื่อพิจารณาจากลักษณะของเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองแล้ว จะเห็นได้ว่าสังคมชาวนาจัดอยู่ตรงกลางระหว่างสังคมดั้งเดิมกับสังคมอารยธรรมสมัยใหม่ กล่าวคือ แม้ว่าสังคมชาวนาจะยังชีพด้วยผลผลิตทางการเกษตร และผลผลิตจากธรรมชาติ ชาวนาส่วนใหญ่ครอบครองปัจจัยการผลิต เช่นที่ดินและเครื่องมือเครื่องใช้ในการเกษตร รวมทั้งใช้เทคนิควิทยาสมัยใหม่บางส่วน แต่สังคมชาวนาก็ไม่มีมีอิสระในทางเศรษฐกิจและการเมืองเหมือนที่สังคมดั้งเดิมมีอยู่

เพราะสังคมชาวนาต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐส่วนกลางเฉพาะแห่งเสมอ และมีการติดต่อสัมพันธ์กับสังคมสมัยใหม่และตลาดการค้าของระบบทุนนิยมอยู่ตลอดเวลา ชาวนาจึงต้องเสียภาษีอากรในลักษณะต่างๆ ให้กับรัฐ ขณะเดียวกันรัฐก็มีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายและการควบคุมด้านต่างๆ ต่อสังคมชาวนา ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐแห่งนั้น เช่น การจัดการปกครอง การศึกษา ศาสนา เศรษฐกิจ อาชีพ รวมทั้งการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น

การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของไทยหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผลพวงสำคัญที่เป็นแรงกระทบต่อการขยายตัวของระบบทุนนิยมจากต่างประเทศ ได้ส่งผลต่อวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่นและระบบการผลิตทางการเกษตร จนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 ในปี 2504 ยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคการเกษตรถูกครอบงำโดยแนวความคิด การปฏิวัติเขียว(Green Revolution)  ซึ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์จากพันธุ์พื้นเมืองมาเป็นพันธุ์ลูกผสมใหม่ ส่งเสริมให้มีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและใช้ปุ๋ยเพื่อเร่งผลผลิต รวมถึงการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ตลอดจนเครื่องจักรกลทางการเกษตรเข้ามาใช้ในการผลิต ส่งผลให้มีการขยายพื้นที่ทางการเกษตรออกไปอย่างกว้างขวางในลักษณะของการเพาะปลูกพืชเชิงเดี่ยว (Monoculture) เพื่อทำการปลูกพืชเฉพาะอย่างเช่น อ้อย ข้าว ปอ ยางพารา มันสำปะหลัง เป็นต้น

ระบบการเกษตรแผนใหม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแบบแผนและวิถีการผลิตอย่างชัดเจน เกษตรกรรมพื้นบ้านได้ถูกแทนที่ด้วยเกษตรกรรมแผนใหม่ที่มีเป้าหมายเพื่อการค้าและการส่งออก การปลูกพืชแบบยังชีพที่มีพืชหลายชนิดผสมผสาน ถูกเปลี่ยนมาเป็นฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่ที่ปลูกพืชเพียงไม่กี่ชนิด พืชและสัตว์พื้นเมืองที่เคยมีอยู่อย่างดาษดื่นและมีความสอดคล้องกลมกลืนกับนิเวศน์ท้องถิ่นเริ่มสูญหายไป การช่วยเหลือพึ่งพากันภายในชุมชนอีกทั้งวัฒนธรรมประเพณีที่อยู่กับวิถีชีวิตชาวนาผู้ปลูกข้าวก็ค่อยๆ หายไป

ชาวนาสุรินทร์เองก็หนีไม่พ้นวงจรธุรกิจในภาคเกษตรกรรม .....
จังหวัดสุรินทร์ได้ชื่อว่าเป็นจังหวัดที่ปลูกข้าวหอมมะลิได้หอมน่ารับประทานจนกระทั่งติดอยู่ในคำขวัญประจำจังหวัด ที่นี่ชาวนาจะทำนาปีละครั้ง อาศัยน้ำจากฝน เมื่อหมดฝนย่างสู่ฤดูหนาว อากาศจะเริ่มแห้ง ตรงกับรวงข้าวที่ต้องการความแห้งเพื่อไล่ความชื้นออกจากเมล็ดข้าว  จึงทำให้ข้าวที่นี่มีเมล็ดที่แกร่งและสวยยาวรีเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค และด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ชาวนาในสุรินทร์หันมาปลูกข้าวหอมมะลิกันมากขึ้น และชาวนาเริ่มขายข้าวให้กับพ่อค้าชาวจีนในท้องถิ่นเมื่อราวปีพ.ศ. 2500 โดยพ่อค้าจะเดินทางเข้าไปซื้อข้าวถึงในหมู่บ้าน แรกที่ขายเป็นข้าวพื้นบ้านอย่างนางคงและข้าวนางสะอาด ในราคากิโลกรัมละ 50 สตางค์บางครั้งได้ถึง 1 บาท

ข้าวเปลี่ยนพันธุ์..ข้าวใหม่หอมมะลิ...
การรวบรวมข้าวพันธุ์พื้นเมืองมีขึ้นอย่างจริงจังทั่วประเทศเมื่อระหว่างพ.ศ. 2493 - 2495 เพื่อค้นหาพันธุ์ข้าวที่ดีและแนะนำให้ชาวนาปลูก มีการคัดเลือกพันธุ์ข้าวกว่าหกพันชนิด และได้พันธุ์ข้าวหลายพันธุ์ที่ใช้แนะนำกับชาวนาให้ปลูก  เช่นข้าวหอมมะลิ105, ข้าวกข.6

นอกจากการคัดเลือกพันธุ์ข้าวที่ดีแล้ว ข้าวไทยก็ยังถูกปรับปรุงบำรุงพันธุ์ขึ้นมาใหม่ เป็นพันธุ์ลูกผสม เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการด้านผลผลิตเป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่น พันธุ์ข้าวกข. ซึ่งเป็นคำย่อมาจาก กรมการข้าว ที่ปัจจุบันนี้เปลี่ยนมาเป็นสถาบันวิจัยข้าว ไปแล้ว ข้าวพันธุ์กข. เป็นข้าวที่ให้ผลผลิตสูงพันธุ์แรกของไทย และได้รับการผสมพันธุ์ใหม่เมื่อปี พ.ศ.2512 จากพันธุ์ข้าวเหลืองทองของไทยกับพันธุ์ข้าวของฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงถึง 100 ถังต่อไร่หรือ 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ทีเดียว

ชนิดและพันธุ์ข้าวที่ปลูกในประเทศไทยเกือบทั้งหมดจึงต้องเปลี่ยนไปตามวัฒนธรรมข้าวเมื่อกว่า 60 ปีที่ผ่านมา เพราะกรมเกษตรและการประมงได้จัดตั้งแผนกข้าวขึ้นในกองขยายกสิกรรม กระทั่งสถาปนาเป็นกรมการข้าวในเวลาต่อมา เพื่อให้ดูแลและพัฒนา การทำนาในยุคนั้น จากนั้นได้รวมกับกรมกสิกรรมเป็นกรมวิชาการเกษตรและกองการข้าวในสังกัดกรมวิชาการเกษตรใหม่ ได้เปลี่ยนเป็นสถาบันวิจัยข้าว มีศูนย์วิจัย ทำหน้าที่วิจัยข้าวและธัญพืชเมืองหนาวทั้งหมด 6 แห่งที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ

ข้าวหอมมะลิ
ข้าวหอมมะลิพบครั้งแรกที่แหลมประดู่ อำเภอพนัสนิคม ชลบุรี โดยนายจรูญ ตัณฑวุฒ นำมาปลูกเอาไว้ที่นาของตัวตั้งแต่พ.ศ.2488 และได้รับความนิยมในท้องถิ่นจนกระทั่งมีคนขอไปปลูกที่ท่าทองหลาง อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา

พ.ศ. 2493 กรมการข้าว กระทรวงเกษตร ได้ออกรวบรวมข้าวพันธุ์ดีของประเทศ พนักงานข้าวอำเภอบางคล้า จึงรวบรวมเอารวงข้าวจากอำเภอไป 199 รวมเพื่อส่งไปปลูกคัดพันธุ์ให้บริสุทธิ์ ไม่ปนเปื้อนกับละอองเกสรข้าวพันธุ์อื่นที่สถานีทดลองข้าวโคกสำโรง จนในพ.ศ. 2500 จึงได้นำไปปลูกเปรียบเทียบพันธุ์ท้องถิ่นในภาคเหนือกลางและอีสาน คณะกรรมการพิจารณาพันธุ์จึงประกาศให้พันธุ์ข้าวหอมมะลิ105 เป็นพันธุ์รับรองเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2502 โดยเรียกชื่อว่า หอมมะลิ 105 เหตุที่มีตัวเลข 105 ต่อท้ายก็เพราะว่า รวงข้าวที่นำไปทดลองปลูกทั้ง199 รวงนั้นเมื่อนำไปเรียงแถวแล้วปรากฏว่าแถวที่ 105 มีเมล็ดข้าวที่ยาวเรียว ขาวใส กลิ่นหอม จึงนำเอาแถวนั้นมาเป็นแม่พันธุ์ให้กับชาวนาต่อไป

ข้าวหอมมะลินั้น แม้ว่าคณะกรรมการพิจารณาพันธุ์จะมีมติให้ใช้ขยายพันธุ์ ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2502 แต่กลับพบว่าข้าวหอมมะลิเพิ่งเป็นสินค้าส่งออกที่ขึ้นชื่อของโลกและติดอันดับแชมป์โลกเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง สาเหตุเนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกข้าวหอมมะลิซึ่งปลูกได้ดีก็เฉพาะกับพื้นที่ปลูกข้าวนาปี ทำให้ปริมาณผลผลิตที่ผ่านมาได้น้อยกว่าที่ควร และความต้องการบริโภคในประเทศยังมีสูง ทำให้ปริมาณการส่งออกต่างประเทศไม่มากนัก กระทั่งประเทศไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจ ขณะที่ความต้องการข้าวหอมมะลิในตลาดโลกมีสูงกว่าข้าวชนิดอื่น ไทยจึงเริ่มเปิดตลาดข้าวหอมมะลิในต่างประเทศได้มากขึ้น ทำให้ประเทศต่างๆ รู้จักข้าวหอมมะลิของไทยอย่างแพร่หลาย

ข้าวหอมมะลินั้นนิยมปลูกเป็นข้าวนาปี เพราะเป็นข้าวที่ไวต่อช่วงแสง จะออกดอกในเวลาที่กลางคืนยาวกว่ากลางวันซึ่งอยู่ในช่วงฤดูหนาว  ข้าวจะออกดอกในช่วงปลายฝนต้นหนาว ราวเดือนตุลาคม ปัจจุบันข้าวหอมมะลิปลูกทั่วประเทศ ส่วนใหญ่จะอยู่ทางแถบอีสาน มีประปรายทางภาคเหนือและกลางบ้าง ว่ากันว่าขาวหอมมะลิที่ปลูกในถิ่นอีสานนั้นราคาดีกว่าปลูกที่อื่นๆ 

ประสงค์ สีสะอาด ชาวบ้านหนองบัว อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ เล่าให้ฟังถึงการเปลี่ยนแปลงจากข้าวพันธุ์พื้นบ้านมาสู่ข้าวที่รัฐแจกให้มาปลูกเมื่อครั้งปีพ.ศ.2514 โดยทางเกษตรอำเภอได้นำข้าวมะลิ105 และ กข.6 มาแจกให้ชาวบ้านคู่กับปุ๋ยเคมีและสารกำจัดศัตรูพืช พร้อมคำแนะนำให้ปลูกข้าวทั้งสองชนิดควบคู่กับการใช้สารเคมีจึงจะได้ผลผลิตดี

แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามคำของเกษตรอำเภอ ผลผลิตในปีแรกได้ปริมาณเพิ่มมากกว่าพันธุ์พื้นบ้านกว่าเท่าตัว อีกทั้งข้าวยังมีกลิ่นหอม รสชาติดีเป็นที่ต้องการของตลาดอีกต่างหาก ปลูกเท่าไรก็มีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อไปเท่านั้น จนกระทั่งปี 2516 ชาวนาสุรินทร์ที่ปลูกข้าวกข.6 ที่เคยให้ผลผลิตดี มีความหอมในเมล็ดข้าว เริ่มหมดความหอมและแตกกอได้ไม่ดีเท่าเก่า

จึงเริ่มหันมาปลูกข้าวหอมมะลิอย่างจริงจังเพียงอย่างเดียวเมื่อปี 2526 แน่นอนว่ายิ่งข้าวหอมมะลิเป็นที่ต้องการของตลาดมากเท่าไร ชาวนาก็ต้องการพื้นที่ในการเพิ่มผลผลิตของตัวเองมากเท่านั้น จากแต่เดิมที่เคยปลูกข้าวหลากพันธุ์ในที่นาของตัวเอง ก็เริ่มละทิ้งพันธุ์พื้นบ้านดั้งเดิมหันมาปลูกข้าวหอมมะลิอย่างเดียวด้วยเหตุผลที่พ่อค้าคนกลางบอกว่า หากมีการปนเปื้อนเมล็ดพันธุ์ข้าวพื้นบ้านพ่อค้าจะไม่รับซื้อข้าวจากที่นานั้นๆ  ทั้งที่แต่ก่อนชาวนาส่วนใหญ่ยังคงเหลือนาไว้แปลงสองแปลงเพื่อปลูกข้าวพันธุ์พื้นบ้านไว้กินเอง   ตอนแรกข้าวหอมมะลินี่หอมจริงๆ เขาว่าข้าวหอมมะลิมีคุณภาพดี ทางราชการก็ส่งเสริม เมื่อก่อนเราไม่รู้จักข้าวหอมมะลิ จะปลูกก็แต่ข้าวที่เม็ดเล็กกว่า ข้าวเม็ดใหญ่นี่เราเรียกว่าข้าวส้อย เม็ดจะคล้ายกับข้าวมะลิ แต่ก้นจะแหลมกว่ากันนิดหนึ่ง... สมบัติ ต่อสุขชาวบ้านหนองบัว เล่าย้อนถึงเริ่มแรกในการปลูกข้าวหอมมะลิ

ปัญหาเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ จากการทำนาที่ไม่เคยมีต้นทุนมากมาย บัดนี้ชาวนาสุรินทร์เริ่มต้องพึ่งพิงเทคโนโลยีทางการเกษตรเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสารเคมีชนิดต่างๆ รถไถนา การจ้างวานแรงงาน เพื่อให้ได้ผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อไม่มีเงินค่าจ้างแรงงาน และซื้อเมล็ดพันธุ์ก็เริ่มกู่หนียืมสิน เพื่อมาลงที่นาของตัวเอง ต่างๆ เหล่านี้ค่อยๆ ทำให้ชาวนาไม่สามารถควบคุมการผลิตและพึ่งพิงตัวเองได้น้อยลงไปทุกที

ชาวนาบางคนเริ่มตระหนักถึงปัญหาของการทำนา และรวมเป็นกลุ่มเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มเกษตรกรในเครือข่ายเกษตรทางเลือกสุรินทร์  เพื่อร่วมมือกันพัฒนาระบบเกษตรร่วมกับพี่น้องเกษตรกรรายย่อย ในการค้นหาทางเลือกในการทำเกษตรยั่งยืน และเริ่มตระหนักถึงวิถีชีวิตครั้งก่อนของคนรุ่นพ่อแม่ตัวเอง ว่ามีวิถีการทำนาเช่นไร จึงเริ่มหันกลับมารวบรวมพันธุ์ข้าวพื้นบ้านที่แต่ละครอบครัวมีอยู่ โดยพบว่ามีเพียง 25 ชนิดแบ่งเป็นข้าวจ้าว 13 ชนิดและข้าวเหนียว 12 ชนิด ทั้งที่ในสุรินทร์เองเคยมีการสำรวจว่ามีพันธุ์ข้าวพื้นบ้านอยู่ถึง 177 ชนิด

งานวิจัยพันธุกรรมท้องถิ่นชุดนี้ได้ทำการศึกษาชุมชนที่แตกต่างทางเชื้อชาติสามหมู่บ้านคือชุมชนลาวที่บ้านหนองบัว อำเภอท่าตูม,ชุมชนเขมรที่ตำบลทมอ อำเภอปราสาทและชุมชนกูยที่บ้านหนองแวง ตำบลหนองแวง กิ่งอำเภอศรีณรงค์  ด้วยมีความเชื่อว่า ข้าวคือสายธารที่หล่อเลี้ยงชีวิตของหมู่บ้านให้ดำรงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมทางสังคม ทางศาสนา ต่างก็มีข้าวเป็นรากฐานทั้งสิ้น

และทุกกิจกรรมเหล่านี้ ได้สร้างระบบความสัมพันธ์ในชุมชนให้แน่นแฟ้นและกลมเกลียวกันมากขึ้น ซึ่งหมายถึงการจัดการแรงงานของชุมชนโดยไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ก่อให้เกิดหนี้สิน และเพราะชาวนาทุกคนเห็นว่า พันธุกรรมท้องถิ่นหรือพันธุ์พื้นบ้านนั้นไม่ใช่ตัวสินค้าแต่เป็นคุณค่าของชุมชน เพราะมีความสำคัญทั้งคนและสัตว์ในชุมชนอย่างแท้จริง

พันธุ์พื้นบ้าน...หนทางที่ยั่งยืน
ที่บ้านหนองบัวส่วนใหญ่เป็นคนไทเชื้อสายลาว ชาวบ้านอาวุโสเล่าว่าพวกเขาอพยพมาจากกุดปลาเค้า จังหวัดเลยตังแต่รุ่นปู่ย่าตายาย สมัยก่อนไม่ว่าจะอพยพไปที่ใด ชาวบ้านจะต้องนำพันธุ์ข้าวติดตัวไปด้วยเสมอ เช่นคนบ้านหนองบัวก็หอบหิ้วพันธุ์ข้าวม๊วยดำ ม๊วยแดงซึ่งเป็นข้าวเหนียวติดตัวมาด้วย
แม่หวา เห็นงามวัยกว่า 70 ปีเล่าให้ฟังว่า ก่อนที่ชาวบ้านหนองบัวจะหันมากินข้าวจ้าว พวกเขากินข้าวเหนียวพันธุ์ม๊วยดำ ม๊วยแดงนี้มาก่อน เพราะข้าวที่วานี้มีกลิ่นหอมให้เมล็ดออกสีม่วงอ่อน  เดิมจะปลูกเป็นข้าวไร่ หยอดเมล็ดลงไปหลุมละ 2 3 เม็ด พอต้นข้าวเติบโต จะแตกออกเป็นกอ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่พันธุ์ข้าวที่ว่านี้สูญไปจากหมู่บ้านนี้มากว่า 30 ปีแล้ว เหตุก็เพราะชาวบ้านหนองบัวส่วนใหญ่หันมาปลูกข้าวหอมมะลิเพื่อจำหน่ายแทน

และด้วยเหตุที่คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านที่ลูกหลานกันไปปลูกข้าวหอมมะลิกันทั้งหมด ต้องกินข้าวพันธุ์ใหม่ที่ไม่คุ้นลิ้น จึงมีเหตุให้ผิดสะบูนแถลงโรค ครั่นเนื้อครั่นตัว ขนาดเป็นไข้ บางรายล้มหมอนนอนเสื่อกันก็มี  จึงทำให้หลายบ้านหันกลับมาปลูกข้าวพันธุ์พื้นบ้านที่ยังพอหลงเหลือไว้ให้คนเฒ่าคนแก่ในครอบครัวได้กิน
....เมื่อก่อนเรามีข้าวดองเดียว ข้าวบองกษัตริย์ พวกนี้จะเป็นข้าวเม็ดเล็ก นอกนั้นจะปลูกข้าวห้าว ข้าวสมันหรือที่เรียกกันว่านางร้อยแดง และยังมีข้าวเหลืองทอง อีกด้วย...สมบัติ ต่อสุข เล่าถึงพันธุ์ข้าวที่เขาเคยปลูก

ข้าวบองกษัติรย์มีขนาดเมล็ดยาวปานกลาง เปลือกหุ้มสีน้ำตาลเหลือง เป็นข้าวที่หุงได้ขึ้นหม้อเพราะมีเมล็ดที่ค่อนข้างร่วนและแข็ง ส่วนข้าวสมันหรือนางร้อยแดงนั้น จะมียางเยอะ เวลาที่นำข้าวเปลือกไปขัดแล้วจะยังมีสีแดงติดอยู่ที่เมล็ด เวลาหุงเมล็ดข้าวจะมีสีแดง ข้าวนางร้อยแดงนี้จัดเป็นข้าวหนัก รวงข้าวจะถี่ไม่ขยายรวงออก ข้าวอีกชนิดหนึ่งที่คนบ้านหนองบัวยังปลูกอยู่คือ ข้าวห้าวซึ่งป็นข้าวเหนียว จะปลูกในเดือนเจ็ด เมล็ดข้าวจะใหญ่กว่านางร้อยแดง ขนที่เปลือกก็เยอะแต่เวลาโดนตัวแล้วไม่คัน อีกพันธุ์หนึ่งเป็นที่นิยมคือข้าวเหลืองทองหรือข้าวส้อยเป็นข้าวที่ออกรวงเร็วประมาณสามเดือนก็ให้รวงข้าวแล้วจึงจัดว่าข้าวเหลืองทองนี้เป็นข้าวเบา

ข้าวต่างๆ ที่ว่ามานี้ต่างก็เป็นข้าวที่ไม่ค่อยชอบน้ำเท่าไร เพราะถือเป็นข้าวไร่ที่ไม่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยงในการเจริญเติบโต และจะตายหากในนามีน้ำขังอยู่นาน ขณะเดียวกันข้าวเหล่านี้ก็ต้องการความชุ่มชื้นของดินเหมือนกับพืชไร่

ที่ชุมชนเขมรในตำบลทมอ ส่วนใหญ่ชาวบ้านยังนิยมปลูกข้าวพื้นบ้าน โดยเฉพาะข้าวที่เหมาะกับสภาพพื้นที่ลุ่มมีน้ำลึก พันธุ์ที่ยังปลูกกันอยู่ได้แก่ ข้างเหลืองอ่อน ข้าวตากแห้ง ข้าวลอย และข้าวที่เหมาะกับพื้นที่ราบคือข้าวปังแอว
ข้าวเหลืองอ่อนมีเมล็ดที่ใหญ่และแบน สีเปลือกข้าวจะเหลืองอมขาวมีขนแต่ไม่ร่วงง่าย เวลาหุงจะขึ้นหม้อดีเวลากินจะไม่ทิ้งไว้ให้เย็นเพราะข้าวจะแข็งกินไม่อร่อยลิ้น
นอกจากนั้นยังมีข้าวที่ปลูกตามความเชื่อคือ ข้าวเนียงกวงที่ถือเป็นพันธุ์ข้าวมงคล เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะความหมาย เนียงในภาษาเขมรแปลว่า ผู้หญิง เนียงในความหมายของข้าวก็คือแม่โพสพผู้รักษาข้าว คำว่ากวงหมายถึง คงอยู่ ยืนยาว ไม่มีวันสูญหาย ไม่หมดสิ้น เนียงกวงจึงหมายถึงข้าวที่คงอยู่ไม่มีวันหมดวันสิ้น  ชาวเขมรจึงนิยมนำข้าวเนียงกวงไปใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ เช่น ในงานแต่งงาน หรือใส่ในหลุมเสาตอนปลูกบ้านใหม่ ครั้งเอาข้าวขึ้นเล้าก็ต้องใช้ข้าวตระกูลเนียงเพื่อความมั่นใจว่าจะมีข้าวกินตลอดปี ข้าวตระกูลเนียงกวงที่ใช้ในพิธีกรรมนั้นจะเป็นชนิดไหนก็ได้ ขอเพียงให้อยู่ในตระกูลนี้ เพราะ
ข้าวตระกูลเนียงกวงเป็นข้าวจ้าว มีอยู่หลายเนียงกวงหลายลักษณะ เช่น เนียงกวงซอจะมีเมล็ดเล็กอ้วน เนียงกวงกาสะนู รวงจะแดงแกมม่วง เนียงกวงละอองกะสัดจะมีเปลือกบางน้ำหนักดี ได้ข้าวสารมากกว่าข้าวพันธุ์อื่นในปริมาณข้าวเปลือกที่เท่ากัน เนียงกวงโกนขะมุม เมล็ดเล็กสีแดงคนลาวจะเรียกว่าข้าวลูกผึ้ง

ส่วนที่ตำบลกุดหวายซึ่งเป็นคนกูย ยังคงรักษาพันธุ์ข้าวพื้นบ้านไว้ได้พอสมควร เช่นข้าวแล้วหนี้ ข้าวอีเกิ้ง ข้าวพวงซึ่งเป็นข้าวเหนียว ข้าวนางร้อยหนัก ข้าวนางร้อยเบา ข้าวจ้าวดำ ข้าวนางสะอาด
ส่วนข้าวเนียงกวงก็นิยมปลูกไว้เช่นกัน ด้วยมีความเชื่อว่าในงานมงคลใดๆ หากใช้พันธุ์ข้าวเนียงกวงไม่ว่าพันธุ์ไหนก็จะทำให้เจริญรุ่งเรืองและมั่นคง

การเก็บรักษาพันธุ์ของชาวบ้านที่มีมาหลายชั่วอายุคนนั้น ส่วนใหญ่จะใช้วิธีคัดเมล็ดพันธุ์ก่อนปลูก โดยฝัดเอาเมล็ดที่ไม่สมบูรณ์ออก และแช่น้ำไว้ เมล็ดที่ไม่สมบูรณ์จะลอยขึ้นค่อยกวาดทิ้งไป และเมื่อปลูกข้าวกระทั่งออกรวงก็จะคัดเอารวงที่สมบูรณ์แยกมาตากและสีเก็บไว้ทำพันธุ์ ส่วนมากชาวบ้านจะใช้วิธีเดินไปตรงกลางแปลงนาเพื่อเก็บรวงตรงช่วงกลางนาเพื่อกันไม่ให้พันธุ์อื่นลอยมาปนเปื้อนได้ เมื่อได้รวงข้าวมาแล้ว นำมาตากแดด 3 5 แดด แล้วฟาดด้วยมือและฝัดเอาเมล็ดลีบออกค่อยเก็บใส่กระสอบแยกเอาไว้เพื่อเป็นเชื้อพันธุ์ต่อไป...

ข้าวกับพิธีกรรม
ที่สุรินทร์มีความเชื่อว่าหากใครปลูกข้าวจ้าวกับข้าวเหนียวติดต่อกันหรือปลูกข้าวเหนียวไว้ตรงกลางแปลงนา ถือว่ามันจะเสียบแทงจะทำให้คนปลูกตาบอด หากใครมีที่ดินน้อย ต้องปลูกไว้ในแปลงเดียวกัน ก็ต้องเว้นตรงกลางให้ห่างจากกันการเก็บเกี่ยวก็ต้องเก็บแยกจากกัน

ก่อนจะลงนา ชาวสุรินทร์เชื่อว่าต้องทำพิธีไหว้ตาแฮกก่อน เครื่องเซ่นไหว้ประกอบไปด้วย ไก่ต้ม หมากพลู ของคาวหวาน ผ้าซิ่นไหม ผ้าขาวม้าไหม ธูปเทียน ทองคำเปลว  พิธีไหว้ปู่ตาแฮกนี้ก็คือการเสี่ยงทางว่าฝนจะดีหรือไม่

การทำนายเริ่มจากการนำเอาแอกใส่คอควายแล้วสังเกตดูอาการควายโดยจะเลือกเอาควายตัวที่เชื่องที่สุด โดยให้หัวหน้าครอบครัวเป็นผู้ทำพิธีด้วยการจับคันไถนา ถ้าควายเดินเร็วจนเกือบวิ่งถือว่าต้นปีนั้นฝนลมจะแรง หากควายเดินช้าก็ว่าฝนจะน้อย ถ้าควายเดินปกติและถ่ายมูลไปด้วยถือว่าปีนั้นน้ำท่าจะอุดมสมบูรณ์ แต่ถ้าควายร้องไห้ เขาว่าปีนั้นน้ำจะแล้ง เมื่อเสร็จสิ้นพิธีไหว้ตาแฮก ชาวนาก็จะเริ่มต้นไถดะ ไถพรวนและเตรียมหว่านกล้า

ก่อนลงปักดำนา ยังมีพิธี เอามื้อ เพื่อบอกกล่าวแก่ปู่ตาแฮก แม่โพสพ แม่ธรณี ว่าจะเริ่มลงทำนาแล้ว เครื่องเซ่นไหว้ประกอบไปด้วย ต้นอ้อย ต้นกล้วย หมากพลู อาหารคาวหวาน  ในช่วงบุญข้าวสารทเป็นช่วงที่ข้าวกำลังงามจะมีการทำบุญไปให้ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วและอุทิศส่วนกุศลให้กับสรรพสิ่งทั้งหลาย หลังจากตักบาตรรเสร็จจะมีการเลี้ยงสารทใหญ่ เมื่อเสร็จพิธีทำบุญจะนำเอาใบตองที่ได้จากวัดไปวางไว้ตามไร่นา บอกกล่าวแก่ปู่ตาแฮก  แม่ธรณีว่าแม่โพสพได้ตั้งท้องแล้ว พิธีนี้เรียกในภาษาเขมรว่างาน แซนโดนตา
ช่วงที่จะเก็บเกี่ยวข้าวจะมีพิธี เอามื้อ อีกครั้งหนึ่ง เพื่อขอบคุณปู่ตาแฮก แม่โพสพและแม่ธรณีที่ได้มอบธัญญาหารให้แก่ชาวนาและบอกกล่าวเพื่อไม่ให้ตกใจว่าลูกหลานจะมาเก็บเกี่ยวผลผลิตออกไปจากท้องนา

เสียลาน เป็นช่วงเวลาที่ทำลานสำหรับนวดข้าว ลานที่ทำขึ้นจะใช้มูลวัวมูลควาย มาทาดินแล้วปล่อยทิ้งไว้สามวัน ก่อนจะนำข้าวมาขึ้นลานนั้นต้องหาฤกษ์ก่อน คือ ทำพิธีเชิญแม่โพสพเข้าลาน เครื่องเชิญประกอบไปด้วยหมากพลู ไปวางไว้ที่กลางลาน  จากนั้นค่อยนำข้าวไปกองไว้ที่กลางลานเพื่อจะหาฤกษ์นวดข้าวอีกครั้งหนึ่ง  เมื่อได้ฤกษ์ดีหัวหน้าครอบครัวก็ต้องเป็นคนนวดข้าวก่อนสามมัด ถือว่าดี นอกจากนั้นยังต้องบอกกล่าวแก่แม่โพสพไม่ให้ตกใจว่าลูกหลานกำลังนวดข้าวและยังบอกกล่าวแก่แม่ธรณีให้ช่วยนำข้าวส่วนที่กระจายหายไปมารวมกัน จากนั้นทิ้งข้าวไว้ที่ลานสามวัน หลังจากนั้นค่อยมาลงแขกนำข้าวขึ้นเล้า ก็ต้องหาฤกษ์ดีเพื่ออัญเชิญแม่โพสพขึ้นไปด้วยเครื่องเชิญประกอบด้วยอาหารคาวหวาน ธูปเทียน  จากนั้นก็ห้ามตักข้าวจนกว่าจะทำพิธีสู่ขวัญข้าว นอกจากนั้นต้องหาเวลาไปขอขมาปู่ตาแฮกเพื่อขอบคุณและบอกกล่าวว่าลูกหลานทำนาเสร็จแล้ว
พิธีทำขวัญข้าวจะทำกันในวันเฑ็ญเดือนสาม เครื่องในพิธีมี กล้วย อ้อย ขนมข้าวต้ม ไข่ เหล้าขาว แป้งหอม กระจก หวี เผือกต้ม มันต้ม ข้าวเหนียวหรือข้าวจ้าว 1 ปั้น  หลังจากทำขวัญข้าวแล้วสามวัน จึงนำข้าวไปสีได้ ข้อห้ามในวันนี้ก็คือห้ามขายข้าวและห้ามแลกเปลี่ยนข้าว

จะเห็นได้ว่ากระบวนการทำนาแบบดั้งเดิมนั้นมีขั้นตอนที่เป็นไปตามธรรมชาติและฤดูกาล อีกทั้งพันธุ์ข้าวพื้นบ้านที่มีอยู่ เมื่อจะปลูกก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งสารเคมีใด เพราะโดยธรรมชาติของพันธุ์นั้น แข็งแกร่งและเหมาะกับดินในแต่ละพื้นที่ดีอยู่แล้ว เรื่องราวเหล่านี้ชาวบ้านรู้ได้โดยใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้านที่สั่งสมสืบทอดกันมาแต่โบราณ 

การทำนาเช่นนี้ดำเนินไปด้วยความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความเชื่อตามวัฒนธรรมพื้นบ้านและวัตถุประสงค์ในการทำนาก็เพื่อเก็บไว้กิน ไม่ใช่ทำเพื่อขาย  ด้วยเหตุนี้การทำนาแบบพื้นบ้านของไทยเราจึงเป็นการทำนาที่ไม่ทำลายสมดุลของระบบนิเวศน์ ไม่ต้องใช้ต้นทุนในการผลิตสูง และที่สำคัญตั้งอยู่บนพื้นฐานของจิตใจที่ไม่เอารัดเอาเปรียบทั้งธรรมชาติและเพื่อนมนุษย์

เอกสารอ้างอิง
ภูมิปัญญาจังหวัดสุรินทร์   นพวรรณ สิริเวชกุล สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิชย์
ข้าวพื้นบ้าน เชื้อพันธุ์แผ่นดินอีสาน  จิตติมา ผลเสวก ชมรมศิษย์เก่าบูรณะชนบท
เมล็ดพันธุ์สัญจร  การอนุรักษ์พันธุ์ข้าวพื้นบ้าน กรณีศึกษานายประสงค์ สีสะอาด ; จิราวรรณ ชุมศรี
จากยอดห้วยถึงบุญบึง สิทธิอำนาจและระบบการจัดการทรัพยากรพื้นบ้านของชุมชนชาวนาลุ่มน้ำชี ; สุริยา สมุทคุปติ์
วัฒนธรรมข้าวและพลังอำนาจชุมชนรอบทะเลสาบสงขลา ; รศ.วิมล ดำศรี
ข้าวกับวิถีชีวิตไทย เอกสารประกอบการสัมมนา เรื่องวัฒนธรรมข้าวในสังคมไทย ; สำนักงานคณะกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ