2/13/2555

โลกบิดจิตเบี้ยว

เผยแพร่ครั้งแรกที่ www.manager.co.th/multimedia  19 มกราคม 2553



ในช่วงเวลาหนึ่ง ศิลปะได้ชี้ชวนให้เราแวะเข้าไปอีกโลกหนึ่ง ที่ไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจ ไม่ต้องวิเคราะห์ ไม่ต้องหาเหตุผล แค่ลองหลบหายเพื่ออยู่ในสภาวะแห่งการหลบหาย เพื่อว่าการหายไปในโลกศิลปะอาจหมายถึง การได้กลับมาซึ่งความรู้สึกที่สดใหม่และเชื่อมโยงเรากลับเข้าสู่โลกของความเป็นจริงอีกครั้ง.    
       นี่เป็นความตอนหนึ่งของคุณพิชญา ศุภวานิช ในฐานะหนึ่งในคณะทำงานนิทรรศการ สุก ดิบ อาทิตย์อุทัย ที่เพิ่งปิดตัวลงไปที่หอศิลปะและวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่สนใจใคร่รู้เรื่องราวของชาวญี่ปุ่น ดิฉันจึงไปชมนิทรรศการครั้งนี้ แต่ก็น่าเสียดายที่หลายครั้งของการสัมมนา พูดคุยระหว่างนิทรรศการไม่อาจไปร่วมฟังได้สักครั้งเดียว...
      
       ชิ้นงานที่สะดุดตาสะดุดใจผู้ชมในนิทรรศการครั้งนี้คงมีมากมาย โดยส่วนตัวแล้วดิฉันรู้สึกทึ่งในการคัดเลือกผลงานมาร่วมแสดงของภัณฑารักษ์คุโบตะ เคนจิและโนเสะ โยโกะ ที่คัดสรร มาได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว     
       และแน่นอนเมื่อเราจะเข้าใจศิลปะที่ศิลปินนำเสนอ เราจำต้องเข้าใจภูมิหลังของเขาเหล่านั้นด้วย...
      
       คนไทยเราอาจคิดว่าคุ้นเคยและได้รับวัฒนธรรมต่างๆของญี่ปุ่นมาอย่างมากมาย วัฒนธรรมร่วมสมัยที่เราเองแทบจะลอกเปลือกของญี่ปุ่นมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว อาหารการกิน ความนิยมชมชอบต่างๆไม่ว่าจะเป็นของใช้ส่วนตัว ของอุปโภค บริโภค ความบันเทิงเริงใจต่างๆ ...แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดิฉันคิดว่า เราไม่อาจเป็นได้เช่นคนญี่ปุ่น ก็คือ ความเป็นคนญี่ปุ่นนั่นเอง...เช่นดียวกับใครอีกหลายคนที่อยากเป็นคนไทยแต่ก็ไม่อาจจะเป็นไทยได้อย่างแท้จริง...
      
       โนเสะ โยโกะหนึ่งในภัณฑารักษ์ของงานศิลปะชุดนี้ กล่าวไว้ว่า ญี่ปุ่นกับไทยดูจะมีความคล้ายคลึงกัน ในเรื่องวัฒนธรรมสมัยนิยมที่ได้รับการยอมรับและเป็นนิยมอย่างสูงในไทยเกินกว่าที่พวกเขาจะคาดเดาได้ ในขณะเดียวกันกับที่คนญี่ปุ่นรู้สึกประทับใจกับถ้อยคำ ไม่เป็นไรของคนไทยที่ใช้กันจนติดปาก...
      
       ด้วยเหตุนี้โนเสะจึงตั้งข้อสังเกตว่า เมืองไทยจึงมีคนญี่ปุ่นย้ายถิ่นมาพำนักอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย คนกลุ่มนี้ถูกเรียกว่า ไซโตะโคะโมริ คือ คนที่แยกตัวเองออกจากสังคม ไม่ใช่เพียงแค่หลบอยู่ที่บ้านของตัว แต่เป็นการย้ายถิ่นจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเลยทีเดียว
      
       จึงคล้ายกับว่า ผู้คนทั้งสองแผ่นดินต่างก็พยายามค้นหาในสิ่งที่ขาดหายไปจากผู้คนอีกแผ่นดินหนึ่ง
   ในฐานะคนทำงานศิลปะ ศิลปินจึงค้นหาความหวังจากสังคมที่พิสดารผิดรูปผิดร่างรอบๆตัวพวกเขา ศิลปินต่างๆ พยายามตั้งคำถามต่อความคิดใหม่เกี่ยวกับมนุษยชาติในยุคปัจจุบัน การเผชิญหน้ากับโลกแห่งความเป็นจริง ความสัมพันธ์ของผู้คน หรือภาวะกดดันต่างๆที่ฝังแน่นอยู่ในใจของใครหลายคน
อย่างเช่นผลงานของไอดะ มาโกโตะศิลปินวัย 45 ปี ที่ผสมผสานเนื้อหาของการ์ตูนเข้ากับการเสียดเย้ยสังคม ภาพคอลลาจขนาดมหึมาทั้งผนังของหอศิลป์ที่ แวบแรกเราอาจเห็นความสดใสน่ารักของตัวการ์ตูนนักเรียนมัธยมหญิงที่ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ขณะที่มองลึกมาที่แขนของตัวการ์ตูนเดิมที่ยื่นเข้าหาผู้ชมกลับเต็มไปด้วยรอยกรีดของใบมีด.... รายละเอียดในภาพนั้นยิ่งพินิจ ยิ่งเห็น...      
       โดยส่วนตัวของไอดะแล้วเขาเป็นศิลปินผู้หนึ่งที่มีความสามารถในการดึงเอาองค์ประกอบของศิลปะและวัฒนธรรมญี่ปุ่นดั้งเดิมมาใช้ในการสร้างสรรค์งานของเขาด้วย งานของเขาส่วนใหญ่จะพูดถึงปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและจริยธรรม...
       ในภาพอนุสาวรีย์แห่งความว่างเปล่า... monument for nothing III นี้ ไอดะใช้แนวคิดของคุมะเดะหรือเครื่องรางที่มีลักษณะเป็นไม้ไผ่ สัญลักษณ์ของการโกยเงินโกยทอง เป็นเครื่องรางของความโชคดีในเชิงธุรกิจ มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของงาน
       เราจะเห็นหัวของชายผู้หนึ่งโผล่ออกมาจากหว่างขาของตัวการ์ตูนเด็กหญิง ที่ด้านล่างของภาพปูด้วยภาพของธนบัตร ถัดมาอีกด้านหนึ่งเรายังได้เห็นภาพของการกินอย่างตะกรามของคนในภาพอีกหลายคนที่ศิลปินตัดมาจากภาพข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์....
       ศิลปินอีกคนหนึ่งที่หยิบมาคุยในครั้งนี้คือชิงะ ลิเอโกะ เธอทำให้เราตระหนักได้ว่า ในสังคมนี้ ความจริงใจมักทำให้เราประหลาดใจได้เสมอ การแสดงออกในท่วงท่าเฉยเมยกลับทำให้เราเห็นสิ่งที่อยู่ภายในมนุษย์ได้มากมาย
       ชิงะใช้ภาพถ่ายในการบอกเล่าเรื่องราวของคู่รักที่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ เธอขอให้ฝ่ายหญิงซ้อนท้ายแล้วมองมาที่กล้องโดยปราศจากความรู้สึก....ภาพที่เธอได้มานั้น กลับเต็มไปด้วยเรื่องราวและความรู้สึกบางอย่าง ที่ไม่สามารถอธิบายได้
       ถึงที่สุดแล้วเราทุกคนต่างก็รู้สึกถึงพลังอันแรงกล้าแห่งความว่างเปล่า เราต่างตระหนักดีว่าสังคมทุกวันนี้เต็มไปด้วยอิสรภาพมากพอๆ กับความเฉื่อยชา และเหมือนจะเกิดคำถามขึ้นในใจของใครหลายคน ว่า เราควรจะช่วยกันปกปิดคำละเมอเพ้อพก ไร้สาระของใครต่อใครในสังคมนี้ หรือถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราควรจะยืนยันความเป็นมนุษย์ด้วยการไม่ยอมถูกลากจูงเข้าไปสู่โลกใบที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่าไร้สาระใบนั้น....เพราะอย่างน้อยเราทั้งผองต่างก็อาศัยอยู่บนผืนดินเดียวกัน....บนโลกใบนี้.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น